พระมเหสีคิมโซยงแห่งวังหลวงจากซีรีส์เกาหลีเรื่อง Mr.Queen โยกหัวโอนเอนไปมาในวันที่เข้าพิธีอภิเษกสมรส
เนื่องจากเธอต้องแบกน้ำหนักของเครื่องหัวขนาดใหญ่ไว้บนคอ อีกทั้งชุดพิธีการที่ประกอบด้วยอาภรณ์หลายชั้น ยังทำให้เธอเดินเหินลำบาก
ความเจ็บปวดที่มาพร้อมเครื่องแต่งกายไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะพระมเหสีในยุคโชซอนเท่านั้น หากเปิดหน้าประวัติศาสตร์ดูจะพบว่ามีผู้หญิงทั่วโลกอีกมากที่กำลังเผชิญกับเสื้อผ้าเป็นพิษ ที่ไม่เคยเป็นมิตรกับผู้สวมใส่อย่างพวกเธอ
สังคมปิตาธิปไตยหรือชายเป็นใหญ่นั้นเป็นต้นกำเนิดของค่านิยมที่คอยกำหนดว่าผู้หญิงควรจะเป็นอย่างไร อำนาจที่ว่านี้ไม่ได้แสดงออกผ่านบทบาทของพวกเธอในยุคสมัยนั้นๆ เพียงอย่างเดียว แต่ยังแสดงออกผ่านเครื่องแต่งกายที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้สวมใส่รู้สึกสบาย แต่กลับทำหน้าที่เป็นกรงขังที่คอยจำกัดเสรีภาพของผู้หญิงเอาไว้ อันเป็นต้นกำเนิดของแฟชั่นที่ไม่สบายสำหรับผู้สวมใส่ที่ตลอดรายทางประวัติศาสตร์ดังนี้
คอร์เซ็ต (Corsets)
รัดแน่นๆ เพื่อหุ่นทรงนาฬิกาทราย
คอร์เซ็ตเป็นชุดชั้นในของผู้หญิงในยุควิคตอเรีย วิวัฒนาการมาจากสเตย์ (Stays) ซึ่งเป็นผ้าที่ใช้รัดให้เอวคอดเข้ารูปและพยุงหน้าอกให้เป็นทรง เด็กๆ จะสวมใส่เพื่อช่วยให้กระดูกสันหลังตรงได้รูปไม่คดงอ
ต่อมาเมื่อรัดเข้าไปเรื่อยๆ ก็ทำให้เกิดแฟชั่นเอวคอด ที่เชื่อว่าหุ่นทรงนาฬิกาทรายจะทำให้ผู้หญิงดูน่าดึงดูดและเปี่ยมด้วยเสน่ห์ดึงดูด คอร์เซ็ตจึงกลายมาเป็นไอเท็มสำคัญของหญิงสาวยุควิกตอเรียไปโดยปริยาย ก่อนหน้าที่มีแค่ผ้าจึงถูกพัฒนาให้แข็งแรงขึ้นโดยการเสริมโครงเหล็กหรือกระดูกวาฬเข้าไป และมีแนวโน้มจะรัดแน่นขึ้นไปอีกให้ร่างกายเปลี่ยนรูปทรง
เทรนด์นี้ค่อยๆ ทำร้ายร่างกายของสตรียุคนั้น เพราะการรัดแน่นเกินไปเริ่มส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น อาหารไม่ย่อย ท้องผูกได้ หายใจลำบาก ยิ่งไปกว่านั้น แรงบีบที่เกิดขึ้นตรงช่องท้องและหน้าอกอาจถึงขั้นทำให้อวัยวะภายในบอบช้ำได้
และที่สุดอาจถึงขึ้นเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุที่เกิดจากคอร์เซ็ตโดยไม่ทันได้คาดคิด เช่น ในปี 1903 หญิงสาวที่ชื่อ Mary Halliday ถูกพบว่าเสียชีวิต เนื่องจากเหล็กในชุดคอร์เซ็ตปักเข้ากลางหัวใจของเธอ
คริโนไลน์ (Crinoline dress)
วัตถุไวไฟในคราบของเสื้อผ้า
คริโนไลน์ เป็นผ้าที่ทำจากขนม้าหรือผ้าลินินเพื่อทำเป็นซับในของผู้หญิง ภายหลังวิวัฒนาการมาเป็นกระโปรงหนาๆ ที่เสริมโครงเหล็กหรือกระดูกวาฬข้างในคล้ายสุ่มไก่ ทำให้กระโปรงดูบานและเป็นทรงอยู่ตลอดเวลา ฟังก์ชันของกระโปรงแบบนี้นอกจากจะโค้งสวยแล้ว ยังมีประโยชน์ตรงที่โดนลมก็ไม่เปิด แต่ผ้าจะเกาะติดอยู่กับโครงเหล็กอย่างแน่นหนา
เพราะมีโครงแข็งๆ ครอบที่เอวตลอดจึงทำให้เคลื่อนไหวได้ไม่สะดวกนัก และด้วยความใหญ่เทอะทะทำให้ชุดคริโนไลน์เป็นอันต้องเผลอไปชนข้าวของ เกี่ยวโดนสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่เรื่อย แต่ที่อันตรายที่สุดสำหรับกระโปรงใหญ่ๆ แบบนี้คือ เนื้อผ้าที่เป็นวัตถุไวไฟชั้นยอด เมื่อเกี่ยวไปโดนเทียนหรือไฟแล้วย่อมลามได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งสลัดออกจากตัวได้ยากยิ่งจึงทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตมานักต่อนัก
บันทึกของปี 1858 ระบุไว้ว่ามีผู้เสียชีวิตจากการโดนไฟคลอก เพราะสวมใส่คริโนไลน์เฉลี่ยถึงสัปดาห์ละ 3 ราย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น คริโนไลน์ก็ยังได้รับความนิยมดีไม่มีตก ก่อนจะค่อยๆ ซาไปตั้งแต่ปี 1878 เป็นต้นมา
Scheele’s Green (The Arsenic dress)
ชุดเขียวเหนี่ยวพิษ
หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม Scheele’s Green สารเคมีสีเขียวที่มีส่วนผสมของอาร์เซนิก หรือที่เราเรียกกันว่าสารหนู ก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ประชาชนชาววิกตอเรียใช้กันเป็นว่าเล่น ชนิดว่าที่ว่าเป็นสารที่มีติดไว้ทุกบ้าน เอาไว้ใช้ย้อมสีกระดาษ ของเล่น ผสมกับสีเทียน แต่ที่ได้รับความนิยมสุดๆ เห็นจะเป็นการนำไปย้อมสีกระโปรงในหมู่ผู้หญิง
เบื้องหลังของสีเขียวสดนี้เต็มไปด้วยอันตรายอย่างคาดไม่ถึง เนื่องจากสารดังกล่าวจะค่อยๆ ปล่อยพิษให้ซึมลงไปในผิวหนังอย่างช้าๆ อาการแรกเริ่มอาจทำให้เกิดการระคายเคืองเป็นแผลพุพองที่ผิวหนัง ไปจนถึงท้องร่วง ปวดศีรษะ และสิ่งที่อันตรายที่สุดคือทำให้เป็นมะเร็งและชีวิตลงในที่สุด สถิติระบุว่ามีผู้หญิง 18 ใน 100 คนในยุคนั้นเสียชีวิตจากการสวมชุดที่ย้อมด้วย Scheele’s green
การรัดเท้า (Footbinding)
รัดเท้าให้เป็นทรงดอกบัวตูม
การมัดเท้าเป็นวัฒนธรรมที่ถือกำเนิดขึ้นราวๆ ศตวรรษที่ 10 ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมเข้าสู่วัยแรกรุ่นของเหล่าเด็กสาวชาวจีน เพื่อจะเป็นผู้หญิงอย่างเต็มตัว พวกเธอจำเป็นต้องใช้ผ้าพันเท้าให้แน่น เพื่อให้เล็กและเรียวเป็นทรงแบบ ‘ดอกบัวตูม’’
การมัดเท้ามีรากฐานมาจากแนวคิดแบบชายเป็นใหญ่ที่เกิดขึ้นในสังคมจีน เท้าเล็กๆ ที่ผิดรูปอันเกิดจากการรัดแน่นนั้น ทำให้ผู้หญิงเดินเหินได้อย่างลำบาก เป็นการลดอำนาจของสตรีเพศอย่างเป็นรูปธรรมและปลูกฝังว่าเป็นผู้หญิงจะต้องเชื่อฟังฝ่ายชาย นอกจากนี้ การรัดเท้ายังถูกนำมาเชื่อมสัมพันธ์ของผู้หญิงในครอบครัวให้แน่นแฟ้น ไม่ว่าจะเป็นยาย แม่ และลูกสาว ทุกคนต่างก็ต้องผ่านพิธีกรรมนี้เช่นเดียวกัน
แต่ผลลัพธ์ที่นอกเหนือเรื่องอำนาจทางสังคมนั้น ไม่ค่อยน่ารื่นรมย์นัก เพราะนอกจากจะทำให้กระดูกเท้าผิดรูปแล้ว ยังทำให้เกิดแผลอักเสบ เป็นหนอง นำไปสู่การติดเชื้อได้ แต่ถึงจะอันตรายแบบนั้น แต่ยังมีหญิงสาวบางคนที่อยากลองติดเชื้อดูสักครั้ง เพราะนั่นเป็นหนทางที่อาจทำให้นิ้วเท้าตายและหลุดออกไปได้ หลังจากนั้นก็อาจจะทำให้เท้าเป็นทรงมากขึ้น
หญิงชาวจีนมัดเท้ากันอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง จนกระทั่งเปลี่ยนผ่านเข้าสมัยของจักรพรรดิคังซี ในราชวงศ์ชิง ในปี 1668 ก็ออกกฎหมายห้ามสตรีรัดเท้าในที่สุด
Gigot
เสรีภาพของการเคลื่อนไหวที่ถูกจำกัดไว้ในแขนเสื้อ
Gigot เป็นภาษาฝรั่งเศสที่หมายถึงขาหลังของสัตว์ โดยเฉพาะแกะที่มีลักษณะด้านบนกว้างด้านล่างแคบ จึงถูกนำมาใช้เป็นชื่อของแขนเสื้อพองๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 1820 มีความกว้างตรงช่วงบนและรัดบริเวณข้อมือ ในยุคแรกเป็นผ้าที่เย็บให้มีลักษณะพองลม แต่ภายหลังได้มีการเสริมด้วยโครงกระดูกวาฬ
เสื้อแขนพองถือกำเนิดขึ้นในปี 1820 ไม่ได้พองธรรมดา แต่เป็นเสื้อที่มีแขนพองใหญ่ตั้งแต่ไหล่ลามมาจนถึงข้อศอก บางครั้งอาจเสริมด้วยโครงกระดูกวาฬที่ทำให้พองเป็นทรงแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม
ด้วยความพองและหนาที่กินพื้นที่ตั้งแต่ช่วงไหล่จนมารัดตึงที่ข้อมือ ทำให้หญิงที่สวมใส่เสื้อแขนพองเคลื่อนไหวไม่สะดวก ขยับแขนได้ในองศาที่จำกัด และยกแขนไม่ได้ อีกทั้งเสื้อแขนพองมักจะสวมคู่กับชุดกระโปรงหนาๆ ที่มีซับในหลายชั้น ไม่ใช่แค่ขยับตัวลำบาก แต่การถูกหุ้มด้วยผ้าหนาๆ นั้นทำให้หายใจไม่สะดวกอีกด้วย
Hobble skirt
เดินไม่สนุก ลุกนั่งไม่สบาย
หลังจากกระแสกระโปรงบานขนาดใหญ่อย่างคริโนไลน์เริ่มซาลงไป ศตวรรษที่ 19 วงการกระโปรงก็พลิกโฉมจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่เคยเป็นสุ่มไก่ใหญ่เทอะทะ กระโปรงก็วิวัฒนาการให้หดลีบลง เหลือเป็นผ้าบางๆ ที่แนบไปกับเนื้อ อีกทั้งยังมีการมัดชายที่ยาวรุ่มร่ามติดกับน่อง ดูแปลกตา
ที่จำเป็นต้องรัดชายกระโปรงเอาไว้หรือออกแบบให้รัดแน่นบริเวณข้อเท้า นั่นเพราะเป็นการป้องกันไม่ให้ลมพัดจนกระโปรงเปิด แต่ผลลัพธ์ดังกล่าวนั้นดูจะไม่ค่อยสอดคล้องกับฟังก์ชันที่ว่าเท่าไหร่นัก เพราะกระโปรงอยู่ในสภาพเรียบร้อยก็จริง แต่ทว่าทำให้ผู้สวมใส่เดินเหินไม่สะดวก เพราะกระโปรงรั้งไว้ให้เดินได้เพียงก้าวสั้นๆ อาจทำให้สะดุดล้มคะมำไปก็เป็นได้
แฟชั่น Hubble skirt ฮิตอยู่ในหมู่สาวๆ พักสั้นๆ ก่อนจะอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากไม่ตอบโจทย์การเดินของผู้ส่วมใส่แม้แต่น้อย
รองเท้าส้นสูง (High heels)
ยิ่งสูงไม่ได้หนาว แต่ยิ่งทำร้ายเท้าให้บอบช้ำ
เดิมทีรองเท้าส้นสูงถูกออกแบบมาเพื่อทั้งหญิงและชายตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 เพื่อใช้ในการขี่ม้า หลังจากนั้นรองเท้าส้นสูงถูกใช้เป็นตัวบ่งบอกสถานะและชนชั้นของผู้คนในสังคม ยิ่งสูงมากก็ยิ่งรวยมาก ก่อนจะค่อยๆ กลายมาเป็นรองเท้าที่เพิ่มเสน่ห์ให้กับผู้หญิงในปัจจุบัน
มีส้นสูงโบราณที่เรียกว่า chopines ซึ่งถูกออกแบบให้สูงมากสุดราวๆ 10 นิ้ว จนทำให้เดินได้แบบเก้ๆ กังๆ ในอดีตหากเป็นเจ้าขุนมูลนาย เวลาสวมใส่จำเป็นต้องมีบ่าวรับใช้คอยเดินประคองตลอดไม่ให้ล้ม
แม้ปัจจุบันส้นที่เคยสูงจะค่อยๆ เตี้ยลง และมีวิวัฒนาการมาเป็นรองเท้าแฟชั่นที่สวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน แต่ความสูงที่ว่านั้นก็ไม่เคยปราณีกับสรีระเท้าของมนุษย์ได้เสียที เพราะการทิ้งน้ำหนักตัวลงบนเท้าที่อยู่บนส้นสูง อาจทำให้เท้าแบกรับภาระเกินจำเป็น และส่งผลให้กระดูกและข้อเข่าเสื่อมได้
(อ่านเรื่องราวของรองเท้าส้นสูงเพิ่มเติมได้ในบทความ ‘ความสูงที่ไม่ต้องเขย่ง เส้นทางรองเท้าส้นสูงจากชายชาติทหาร สู่ความงามของสตรี’)
The Fontange
ผมทรงฟองตาเก้ ไม่หนักหัวใครยกเว้นหัวเรา
ฟองตาเก้เป็นผ้าโพกหัวยอดนิยมของหญิงสาวในปลายศตวรรษที่ 17 ไปจนถึง 18 โดยพวกเธอจะนำริบบิ้นและหมวกเล็กๆ มาแซมในผม โดยใช้หมุดกลัดเอาไว้ ดูราวกับมงกุฎหลายชั้นที่ประดับอยู่บนหัว ฟองตาเก้แบบเล็กๆ ก็ดูเก๋ไก๋ดี เพียงแต่ยิ่งนานไปเทรนด์ความใหญ่ก็มา ทำให้ฟองตาเก้เริ่มอัพไซส์ เป็นวายร้ายสำหรับคอบ่าไหล่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ความเทอะทะยังนำมาซึ่งอันตรายอันคาดไม่ถึง เพราะมักจะบังเอิญไปเกี่ยวนั่นเกี่ยวนี่เข้า ลำพังข้าวของอาจไม่เป็นไร หากเกี่ยวเชิงเทียนอาจทำให้เกิดโศกนาฏกรรมร้ายแรงตามมาได้ คล้ายๆ กับเคสไฟไหม้อันน่ากลัวของชุดคริโนไลน์
นอกจากจะประคองฟองตาเก้บนหัวไว้อย่างทุลักทุเล อีกหนึ่งอุปสรรคที่มากับเครื่องหัวชนิดนี้คือ เข็มหมุดที่ใช้ยึดวัตถุต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นตามไซส์ของฟองตาเก้ มีผู้หญิงนับไม่ถ้วนที่ได้รับบาดเจ็บ เป็นแผลเล็กๆ น้อยๆ จากคมของหมุดดังกล่าว
อ้างอิง
- Christine-Marie Liwag Dixon.The Most Oppressive Fashion Trends Throughout History.https://bit.ly/3oUxIWZ
- JustAnnet.Fatal Fashion: 21 Historical Fashion Trends that led to the Death of Many.https://bit.ly/2N0mcMs
- Cazzie David.Fashion Forward and Uncomfortable.https://bit.ly/2N172qE