การร่วงหล่นคือการร่วงหล่น การโบยบินคือการโบยบิน …การร่วงหล่นที่มี ไม่เคยเป็นการร่วงหล่นที่ดี
แต่บ่อยครั้ง เมื่อลอยคว้างอยู่กลางอากาศ มองไม่เห็นพื้นด้านล่างมานานเกินไป ถึงจุดหนึ่งเราจะแยกไม่ออกว่าสิ่งใดคือการโบยบิน หรือสิ่งไหนคือการร่วงหล่น
ผมเพิ่งเล่าถึงช่วงขณะที่ตัวเองลอยอยู่เหนือเมืองโปขรา ประเทศเนปาลด้วยร่มพาราไกลดิ้งเมื่อราวสี่ปีก่อนให้สื่อเจ้าหนึ่งฟัง ในตอนที่ถูกสัมภาษณ์ว่าช่วงเวลาใดกันคือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด
ไม่ใช่เพราะคิดว่านั่นคือความสุข ผมแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าครั้งสุดท้ายที่พูดได้ว่าตนมีความสุขอย่างเต็มปากเต็มคำคือเมื่อใด
เพราะคำว่า #ความสุข โดยทั่วไปมักถูกอธิบายในลักษณะของประสบการณ์แห่งความเบิกบาน ความพึงพอใจ การมองโลกในแง่บวก การมีชีวิตที่ดี มีความหมาย และมีคุณค่า
ซึ่งผมมักมีปัญหากับคำคำนี้
อาจเพราะโง่เขลา มีแนวโน้มมองโลกในแง่ลบ โบ้ยให้เป็นความผิดของความป่วยไข้ทางจิตใจด้วยก็ได้ หรือกระทั่งการเป็นคนทำงานเขียนที่ผูกพันอยู่กับการตั้งคำถามและการควานหาคำตอบมายาวนาน ที่ก็มักสับสนว่าสิ่งใดคือคุณค่าและความหมายของเรื่องต่างๆ รวมถึงการดำรงอยู่ของตัวเองตลอดเวลา ความสุขในนิยามเช่นนั้น สำหรับคนอมทุกข์เช่นผม จึงดูเป็นเรื่องไกลตัวอยู่สักหน่อย
ทว่าขณะลอยคว้างอยู่กลางอากาศเหนือเมืองโปขรา มีนักบินควบคุมทิศทางอยู่ด้านหลัง ใบหน้าปะทะลมหนาวที่โบกโบยมาจากเทือกเขาหิมาลัย แดดจ้าแสบผิวทะลุผ่านม่านเฆม ประจันหน้ากับยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 10 ของโลกนาม ‘อันนาปุรณะ’ เวลาเช่นนั้น มันก็น่าจะเรียกว่า ‘ช่วงเวลาที่ดีที่สุด’ ช่วงหนึ่งได้
ไม่ใช่เพราะมันมีคุณค่า ไม่ใช่การพานพบความหมาย ผมไม่ได้เจอคำตอบถูกต้องใด แต่อาจเพราะมันคือสภาวะใกล้เคียงกับการไม่ดำรงอยู่ของคำถามมากที่สุด…
ผมยังพอจำได้ถึงตอนที่ตัวเองเดินไปจ่ายค่าแพ็คเกจพาราไกลดิ้งอย่างประหม่ากับบริษัททัวร์ในเมืองเล็กๆ แห่งนั้น จำได้ถึงสองขาที่สั่นเทาเมื่อลงจากรถตู้ และพบว่าจุดเทคออฟอยู่ในระดับที่สูงพอๆ กับก้อนเมฆ
ลนลาน ใจหวิว แต่พยายามเก็บอาการ
ต่อเมื่อถูกนักบินพาวิ่งลงลาดเนินเขาไปอย่างรวดเร็ว ถูกร่มของพาราไกลดิ้งยกขึ้นจนเท้าไม่ติดพื้น ลืมตาเบิกโพลงมองโลกด้วยมุมมองที่แตกต่าง มียอดเขาอันนาปุรณะปกคลุมด้วยหิมะให้เห็นไกลๆ ทิวทัศน์เขียวขจีของป่าสนรองรับอยู่เบื้องล่าง ขอบโลกเป็นเส้นโค้งคมชัดไม่เลือนลาง วินาทีนั้น ก็ราวกับอยู่ๆ คำถามมากมายพลันถูกขจัดออก
ไม่ได้หมายความว่าผมพบเจอคำตอบจริงแท้ชนิดไหน แต่มันก็แค่ไม่มีความจำเป็นใดอีกแล้วที่ต้องตั้งคำถาม เพราะคำถามไม่ได้มีอยู่ในภาวะเช่นนี้มาตั้งแต่ต้น มันมีแค่การสัมผัสสัมพันธ์ที่ไม่อาจบรรยายเป็นตัวอักษร ช่วงขณะไร้ความเคลือบแคลงสงสัย ราวกับผมกำลังกลืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของความไพศาลยิ่งใหญ่ ไม่ใช่คนนอกไม่เข้าพวก ไม่ใช่สสารที่มีชื่อเรียกว่ามนุษย์ ไม่ใช่ตัวตนเนื้อหนังที่เคยยึดถือมา แต่เป็นบางสิ่งไร้ชื่อเรียกของมวลรวมทั้งหมดเบื้องหน้า
บนความสูงที่คงทำให้ตายได้ทันทีหากร่วงหล่นกระแทกพื้น ผมไม่ได้คำนึงถึงความตาย ชีวิตที่ผ่านมา หรืออนาคตข้างหน้า เมื่อไร้ทั้งความกลัว ความสงสัย คำถาม หรือคำตอบใดๆ นั่นจึงอาจเป็นครั้งแรกๆ ในชีวิต ที่ผมเข้าใจภาวะที่ในทางสุนทรียศาสตร์เรียกว่า sublime—การสัมผัสความอัศจรรย์ที่ไม่อาจคำนวณ หยั่งวัด หรือเลียนแบบ หลังจากเคยได้ยินผ่านหูในวิชาทฤษฎีศิลป์ตอนยังเป็นนักศึกษาศิลปะอยู่ในมหาวิทยาลัย
ผมเลือกตอบเกี่ยวกับความสุขไปแบบนั้น อาจไม่ตรงคำถามของผู้สัมภาษณ์เท่าไรนัก เป็นเรื่องราวทางจิตวิญญาณ และกล่าวอย่างถึงที่สุด มันอาจเป็นได้แค่ความฝันวูบหนึ่งที่สุดท้ายก็จะรางเลือนจางหายไปจากความทรงจำเสียด้วยซ้ำ
เพราะเมื่อแท้จริงแล้ว sublime ไม่ใช่แค่เรื่องของความไพศาลยิ่งใหญ่ หรือภาวะที่คำถามไม่ดำรงอยู่เพียงอย่างเดียว แต่มันยังต้องผนวกรวมกับความรู้สึกนึกคิดภายในของเรา ณ วินาทีของการปะทะสังสรรค์ ที่ความกลัว ความสงสัย หรือคำตอบใดๆ ไม่สำคัญอีกต่อไปด้วยเช่นกัน
ทว่านอกเหนือจากเรื่องจิตวิญญาณ ในชีวิตจริงส่วนใหญ่ เราก็ต่างอาศัยอยู่ในสังคมมนุษย์ที่มีสายใยโยงใยไปมา มีคำถามมากมายรายรอบ มีผู้มีอำนาจที่หลีกเลี่ยงและบิดเบือนจะให้คำตอบ มีการขู่เข็ญไม่ให้ตั้งคำถาม สังคมเช่นนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะขจัดความกลัว ความสงสัย หรือความเคลือบแคลงคาใจออกไป จนทำให้เกิดภาวะ sublime ได้
และในสังคมเช่นนั้น การเอาแต่พูดถึงเรื่องความดี ความงาม ความจริง มุ่งหมายจะเข้าถึงภาวะ sublime ที่ในการเรียนวิชาวิจิตรศิลป์ต่างพร่ำสอนต่อๆ กันมาโดยไม่ตั้งคำถาม จึงเป็นอะไรที่น่าคลื่นเหียน
โลกไม่ได้มีแค่ตัวเรากับความไพศาลยิ่งใหญ่ แต่ในระดับปัจเจกสามัญธรรมดา ในระดับการใช้ชีวิตที่ต้องกิน ขี้ ปี้ นอน และต้องการปัจจัยพื้นฐานมารองรับเรื่องราวเหล่านั้น มันยังมีบางสิ่งที่เราต้องมองหาเพื่อจะได้ยึดมั่นเอาไว้—จุดที่เราจะร่อนถลาลงได้อย่างปลอดภัย บางอย่างในภูมิทัศน์กว้างใหญ่ที่เราจะจับจ้องมุ่งไป เพื่อทำให้เราไม่รู้สึกเคว้งคว้างกับการล่องลอยนี้มากนัก บางเรื่องที่เราอยากต่อสู้เพื่อมัน และนั่นก็ต้องย้อนกลับไปสู่การตั้งคำถาม รวมถึงการตามหาความหมายและคุณค่าด้วยเช่นกัน
แน่ละว่า เมื่อเราลอยคว้างอยู่กลางอากาศ มองไม่เห็นพื้นเบื้องล่างมานานเกินไป ถึงจุดหนึ่งเราจะแยกไม่ออกว่าสิ่งไหนคือการโบยบิน หรือสิ่งใดคือการร่วงหล่น
ทว่าการร่วงหล่นก็คือการร่วงหล่น การโบยบินคือการโบยบิน …ไม่เคยมีการร่วงหล่นที่ดี
การหลอกตัวเองว่าการร่วงหล่นคือการโบยบิน โดยไม่เคยตั้งคำถามว่าเมื่อไรเราจะตกกระแทกพื้น มีใครคอยรองรับอยู่ข้างล่างบ้างหรือไม่ หรือกระทั่งการอิกนอร์ไม่สนใจ ว่าใครกันแน่ที่ผลักเราลงมา ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรมากนัก
การร่วงหล่นคือการร่วงหล่น การโบยบินคือการโบยบิน
ผ่านปี 2021 มาเกือบครึ่งปีแล้ว คุณกำลังโบยบินหรือร่วงหล่นกันแน่…