ผมชิงชังชีวิตพอๆ กับที่รักมัน
ขออนุญาตขึ้นต้นบทบรรณาธิการชิ้นแรกของตัวเองใน becommon แบบนี้
และภาพถ่ายเซ็ตที่ได้เห็นด้านล่าง อาจเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมผมจึงชิงชังชีวิตพอๆ กับรักมัน
ในช่วงปี 2020 ก่อนจะมาทำงานกับ becommon ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศจอร์เจียยาวนานหลายเดือน
ก่อนหน้านั้น ช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2019 ผมลาออกจากงานประจำ ซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียว และออกเดินทางโดดเดี่ยวสู่ยุโรป นั่งรถทัวร์อับๆ รอนแรมตั้งต้นจากเบอร์ลิน เยอรมนี ผ่านหลายประเทศ ก่อนที่ต้นปี 2020 จะโผบินมาปักหลักยังประเทศเล็กๆ บนเทือกเขาคอเคซัสอย่างจอร์เจีย—ดินแดนสุดหวงแหนที่พระเจ้ามอบให้แก่คนขี้เมาดังที่เขียนเล่าไปแล้วในบทความชิ้นนี้ https://becommon.co/culture/thought-supra/
ด้วยเหตุผลส่วนตัวหลายประการ ผมจึงสัญญากับตัวเองอย่างเงียบเชียบในใจว่า ผมจะไม่กลับมาสู่ดินแดนบ้านเกิดอีก
แล้วอย่างที่ทราบ อย่างที่ทุกคนประสบพบเจอ โรคระบาดชื่อโควิด-19 ก็ลุกลามไปทั่วโลก
ในเมืองบนที่ราบสูง 2,500 ฟุตเหนือน้ำทะเล ผมผ่านล็อกดาวน์ ผ่านชีวิตลำพัง ผ่านความหวัง และพานพบมิตรภาพใหม่ๆ ผ่านหิมะ ฝนกระหน่ำ และแสงแดด
กระทั่งก่อนไตรมาสสุดท้ายของปี 2020 ผมจึงพาตัวเองนั่งรถมินิบัสไปยังสถานที่งดงามเหมือนสรวงสวรรค์แห่งหนึ่งในจอร์เจียชื่อ Juta ถ่ายภาพเซ็ตนี้ กลับมาห้องเช่า แล้วตัดสินใจเก็บของลงกระเป๋าเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดเหมือนนกปีกหัก
ผมออกเดินทางจากทบิลิซี จอร์เจีย ทั้งทางรถไฟ รถบัส รถตู้ ผ่านเมืองชายแดนชื่อบาตูมี ข้ามฟากมาตุรกี
การข้ามแดนในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่มีมาตรการแน่นหนาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ที่สุดก็ข้ามมาได้หลังรอการประสานระหว่างเจ้าหน้าที่จอร์เจีย ตุรกี และสถานทูตไทย เกิน 4 ชั่วโมง
หลังจากนั้นการเดินทางกลับดินแดนที่ตัวเองตัดสินใจหันหลังให้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็กลายเป็นภาพเบลอๆ เลือนๆ
เวลาที่เพิ่มมาเพียงหนึ่งชั่วโมงหลังข้ามเส้นสมมติ ทำให้ตระหนักถึงกระแสเวลาเข้มข้นรวดเร็วที่ผ่านไปในชีวิตชนิดขนลุกขนพองขึ้นมาเสียเฉยๆ
(และกระแสเข้มข้นของเวลานั้นก็ยิ่งฉุดดึงให้จมดิ่งในระยะเวลากักตัว 14 วันหลังกลับมาถึง)
จากเมืองหลวงของจอร์เจียสู่อิสตันบูล ตุรกี รวมแล้วน่าจะเป็นระยะทางมากกว่า 2,000 กิโลเมตร
แต่บนรถมินิบัสจากเมืองชายแดนตุรกีชื่อ ทรับซอน ถึง อิสตันบูลราว 21-22 ชั่วโมง ผมจำอะไรได้ไม่มากนัก
แสงเช้าตอนที่รถบัสจอดพักระหว่างทาง ก่อนข้ามช่องแคบบอสฟอรัสงดงามและอยากกลับไปเยือน …อาจเป็นเพียงไม่กี่ฉาก
หรือไม่ก็ตอนนั่งกระดกเบียร์แก้วใหญ่อยู่ในเทอร์มินัลของสนามบินอิสตันบูล เหนียวเหนอะจากการไม่ได้อาบน้ำมาเกือบ 2 วัน ได้กลิ่นลางร้ายว่าชีวิตจะภินท์พังอีกครั้งในอนาคตอันใกล้
แล้วเที่ยวบิน Repatriation flight โดยสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ก็พากลับมา
คิดว่ามันน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วในสถานการณ์ของโรคระบาด ที่ทำให้ผมขยับตัวทำอะไรเพื่อมีชีวิตรอดได้ลำบาก และแผนที่วางไว้ล้มเหลวไม่เป็นท่า
แต่การกลับมาก็ยิ่งย้ำชัดว่าผมไม่ใช่คนของที่นี่
ไม่มีอะไรผิด ผมเห็นความหวัง พอๆ กับความพังพินาศของปี 2020 ที่ทุกคนต่างนิยามว่าเป็นปีอันน่าเหนื่อยหน่ายและแสนทรมาน
ไม่มีอะไรผิด แต่ทั้งหมดนั้นอาจเพราะผมเอง
การเป็นคน toxic แผ่พลังลบอยู่ตลอด และต้องกลับมาเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ซึ่งๆ หน้าไม่ว่ารูปแบบไหนก็ตามยิ่งตอกย้ำว่าผมไม่ควรมีชีวิต … อย่างน้อยก็ในพื้นที่แห่งนี้
ผมรักภาวะนิรนามมากกว่า รักษาระยะห่าง พูดคุยกันในฐานะคนแปลกหน้า หลีกหนีหลบซ่อนจากความคาดหวัง
แน่ละว่าการหวนกลับมาสู่ประเทศเกิดนั้นมีเรื่องดี อย่างน้อยมันคือการผละความหนาวเหน็บมาหาอ้อมกอดอบอุ่นของใครบางคน
แต่อีกแง่หนึ่ง โดยเฉพาะโลกของการกลับไปทำงานประจำ—ของสื่อออนไลน์ที่แสนรวดเร็ว มันก็ทำให้ผมต้องแสดงในหลายบทบาท ย้อนกลับไปเป็นคนที่ตัวเองไม่ได้เป็นอีกแล้ว
แสดงเป็นคนที่ตัวเองเคยหนีจากไป วิ่งตามกระแสเวลาเข้มข้นรวดเร็วให้ทัน เพื่อให้ตัวเองยังสามารถมีชีวิต
และมันก็ยิ่งทำให้ผมชิงชังชีวิตเข้าไปอีก เมื่อตระหนักว่า ผมพลัดหลงติดอยู่ระหว่างทางของการกลับไม่ได้ไปไม่ถึง แถมยังควานหาทางออกไม่พบท่ามกลางโลกล่มสลาย
ขออภัยที่แสดงความอ่อนแอออกมา
แต่ผมชิงชังตัวเองที่การกลับมาไม่ใช่งานเยี่ยมญาติพบปะสังสรรค์ แต่มันกลับเป็นงานศพ
กลับมาเพื่อพบว่าบางห้วงเวลาผ่านพ้นไปแล้วอย่างไม่อาจหวนกลับ
กลับมาโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่า เพื่อนรักที่สนิทที่สุดคนหนึ่งของตัวเองจะจากไปแบบกระทันหันทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เจอหน้า
รังเกียจชิงชังชีวิตที่ทำราวกับยังโอเคดีอยู่กับความสูญเสียเหล่านั้นเพียงเพราะตัวเองยังยึดติดกับชีวิต
รังเกียจพลางภาวนาให้วิญญาณของเพื่อนคนนั้นได้สถิตอยู่ในสรวงสวรรค์ อย่างน้อยก็งดงามเหมือนสถานที่ในภาพชุดนี้
ช่วงสิ้นปีก่อนผมเห็นผู้คนมากมายเขียนบันทึกสรุปชีวิตในรอบปีของตัวเอง
แต่ชีวิตในปี 2020 ของผม กลับไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากความแค้นเคืองต่อตัวเอง และหลงใหลคลั่งไคล้กับสภาวะหลบหนี
ย้อนกลับไปปี 2019 ผมส่งท้ายปีเก่าที่บูดาเปสต์ ฮังการี บินไปปักหลักที่ทบิลิซี จอร์เจียหลังปีใหม่ ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นยาวนานหลายเดือน ซึ่งนั่นกลายเป็นช่วงที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต ก่อนตัดสินใจกลับมา
ย้อนดูภาพเซ็ตนี้ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ผ่านมา
ทำให้ผมรู้สึกรังเกียจชิงชังชีวิตที่บางครั้งยึดติดกับการมีชีวิตบ้าคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง
ทรมานกับการควานหา ว่าวารวันที่หมดไปในรอบปีหนึ่งหนึ่งมันสอนอะไรบ้าง
และรักชีวิตสุดจิตสุดใจในบางครั้งที่สามารถยักไหล่ และไม่แคร์กับการมีชีวิต แบกกระเป๋าขึ้นหลัง ยัดตัวเองลงในรถบัสอับๆ ข้ามประเทศ ซาบซึ้งที่ครั้งหนึ่งพาตัวเองไปถึงดินแดนสุดตระกานตาชื่อ Juta ได้
สำหรับผม ชีวิตบางคราวจึงไม่ใช่บทเรียน แต่เป็นการโผบิน พลัดตก บาดเจ็บ หลบหนี ต่อสู้ ทะยานใหม่ และร่วงหล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชีวิตบางครั้งไม่ใช่บทเรียน แต่เป็นการขยับเคลื่อนไหวผ่านระนาบแห่งเวลาของห้วงการดำรงอยู่ในชีวิตหนึ่งหนึ่ง
ชีวิตบางทีจึงเป็นเพียงเรื่องเล่าขานไร้ข้อสรุป พร่าเลือน ส่วนตัว จับใจความไม่ได้ จับต้นชนปลายไม่ถูก เหมือนบทบรรณาธิการที่ท่านกำลังอ่าน
ชีวิตบางขณะจึงอาจไร้คุณค่าและความหมายที่ต้องบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร
แต่ชีวิตอีกบางคราวเช่นกันก็ต้องเสแสร้งและแสดง
เพราะชีวิตรักชีวิตที่เปี่ยมชีวิตเจียนบ้า
ผมจึงบันทึก เขียนบทบรรณาธิการนี้ขึ้น ปรับเปลี่ยนจากบทบันทึกส่วนตัว โดยหวังว่าการแสดงนั้นจะเข้าใกล้ความซื่อสัตย์ได้บ้าง
อย่างน้อยก็ในวิธีคิดของเนื้อหาต่างๆ ที่ becommon จะนำเสนอในโอกาสข้างหน้า
อย่างน้อยก็นานๆ ครั้ง ในพื้นแห่งนี้ที่ผมตั้งชื่อไว้ว่า editor’s dose ซึ่งผมคงได้มาพูดคุยบอกเล่าบางเรื่องราว ด้วยน้ำเสียงของมนุษย์ ที่มีทั้งเรื่องเรียบง่ายจับใจความได้ หรือเรื่องซับซ้อนซ่อนความหมายระหว่างบรรทัดยากอธิบาย
ด้วยน้ำเสียงของมนุษย์สามัญธรรมดาอย่าง be …common
…ในแบบมนุษย์ผู้เต็มไปด้วยความชิงชังและความรัก