life

แม้งานจะยุ่งมาก แต่ความรักก็ยังอยู่รอด

เคยสงสัยไหมว่า คนระดับโลกที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่าง บิล เกตส์ (Bill Gates) มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) เขาบริหารความสัมพันธ์อย่างไรกัน

บิล เกตส์ และคู่ชีวิต เมลินดา เกตส์ (Melinda Gates)
Photo: Jeff Christensen / AFP

ในปี 2017 มีบทความของ Business Insider ไปสัมภาษณ์นักจิตวิทยาและนักจิตบำบัดผู้ก่อตั้ง Chicago Relationship Center ซึ่งทำวิจัยและให้บริการจิตบำบัดมามากกว่า 25 ปี ในเรื่องเกี่ยวกับ ‘power couple’ หรือ คู่รักที่ประสบความสำเร็จในการงานทั้งคู่ ต่างคนต่างมีอำนาจ เงินทอง และชื่อเสียง

แน่นอนว่าด้วยความสำเร็จระดับนี้ ทำให้แต่ละคนมีความมั่นใจในตัวเองมากๆ ซึ่งในบทความใช้คำว่า ‘two egos’ หรือคนที่มีอีโก้สองคนมาอยู่ด้วยกัน ก็น่าจะมีแนวโน้มไม่ฟังกัน เพราะมั่นใจว่าความคิดตัวเองถูกต้องที่สุด (ไม่เชื่อก็ดูธุรกิจฉันสิจนนำไปสู่การเลิกรา

นอกจากเรื่องความมั่นใจแล้ว อีกหนึ่งประเด็นที่ power couple เพิ่มความเสี่ยงหรือมีโอกาสทำให้เลิกกันมากกว่าคู่รักทั่วไป คือ ต่างฝ่ายต่างแบกรับความกดดันจากการทำงานอย่างมหาศาลจนส่งผลกระทบมาถึงความสัมพันธ์ได้ แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะ power couple หลายคู่ก็สามารถดูแลความรักกันได้ดี

จอห์น กอตต์แมน (John Gottman) หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Chicago Relationship Center อ้างอิงถึงงานวิจัยที่ใช้เวลาศึกษา 40 ปี ผ่านหนังสือ What Makes Love Last? (2014) ว่า ปัจจัยสำคัญคือความเชื่อใจ ความมุ่งมั่นทุ่มเท และความรับผิดชอบ เมื่อทั้งคู่มุ่งมั่นทุ่มเทในความสัมพันธ์ จะนำไปสู่ความรู้สึกไว้ใจกันและทำให้ความสัมพันธ์อยู่รอด

นอกจากนี้ สถาบันฯ ยังได้เก็บข้อมูลจาก power couple ระดับโลก ทั้งคู่รักของบิล เกตส์, มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก และนักแสดงฮอลลีวู้ดอีกหลายคน ทำให้พบจุดร่วมหลายข้อของคู่รักระดับโลก ซึ่งเป็นแนวคิดและทำที่พวกเขาใช้บริหารความสัมพันธ์และความรักให้อยู่รอดแม้งานจะยุ่งเหลือเกิน

1. การใช้เวลาร่วมกันเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะทำให้มีประสบการณ์ร่วมเยอะ อย่างมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์กผู้ก่อตั้งเฟบุ๊ก แม้เขาจะวุ่นอยู่กับการบริหารธุรกิจ แต่ไม่ลืมทำข้อตกลงร่วมกับภรรยาว่า จะพาเธอไปเดสัปดาห์ละครั้งและใช้เวลาด้วยกันสองต่อสอง 100 นาที ในอพาร์ตเมนต์ส่วนตัวและเมื่ออยู่นอกออฟฟิศ

มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก และคู่ชีวิต พริสซิลลา ชาน (Priscilla Chan)
Photo: Molly Riley / AFP

2. จ้างคนมาทำงานที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะงานบ้าน จ่ายตลาด ทำอาหาร หรือซื้อของเข้าบ้าน เพื่อเอาเวลาไปใช้ทำอย่างอื่นด้วยกัน

3. ใช้เวลากับเรื่องดีๆ ทำเรื่องที่อยู่นอกขอบเขตของอีโก้ เช่น เป็นอาสาสมัครหรือทำกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคมร่วมกัน

4. ฟังอย่างตั้งใจและพยายามเข้าใจกัน พูดคุยถามไถ่เรื่องราวในชีวิตบ่อยๆ (ถ้าเป็นไปได้ให้คุยกันทุกวัน) ทั้งแบบเจอตัวกันหรือคุยผ่านโทรศัพท์ก็ได้ แต่การแชทอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ คุยให้ความสำคัญกับปัญหาของอีกฝ่าย ให้โอกาสเขาได้พูดถึงความรู้สึกโดยไม่ตัดสินกัน ไม่ต้องพยายามเร่งแก้ไข ฟังให้เข้าใจจริงๆ ก่อน งานวิจัยจากสถาบันฯ ชี้ให้เห็นว่าการพูดคุยกันลักษณะนี้เป็นปัจจัยพื้นฐานของทุกคู่ที่อยู่ด้วยกันรอด

5. พูดถึงปัญหาก่อนจะสายเกินแก้ เมอรีล สตรีป (Meryl Streep) นักแสดงรางวัลออสการ์ชาวอเมริกันบอกว่า ‘ต้องพูดถึงปัญหาที่เล็กที่สุดด้วย’ เวลาคือสิ่งมีค่าซึ่งไม่ควรเสียไปกับการเก็บเรื่องที่ทำให้เราเป็นทุกข์เอาไว้ 

Photo: Carl Court / AFP

ไมเคิล แมคนัลตี (Michael McNulty) นักวิจัยและนักจิตบำบัดเสริมว่า ภายใต้วัฒนธรรมของที่ชอบเลี่ยงความขัดแย้ง การเผชิญหน้ากันทำให้เราไม่กล้าพูดความต้องการหรือเรียกร้องจากอีกฝ่าย สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ เราจะพยายามรวมข้อเสียต่างๆ ของอีกฝ่ายเพื่อสร้างความรู้สึกชอบธรรมให้มากพอที่จะพูดหรือเรียกร้องอะไรบางอย่าง ซึ่งสุดท้ายจะนำไปสู่การทะเลาะกัน

6. ชื่นชมและขอบคุณอีกฝ่าย คู่รักที่ดีจะต้องยอมรับและชื่นชมอีกฝ่าย ทำให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขาเห็นความสำคัญในสิ่งที่เราทำหรือเป็น โดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องใหญ่เสมอไป อาจมาในรูปแบบการหลอกเบาๆ ทำไมน่ารักแบบนี้ เธอเก่งที่สุดในโลก ซึ่งได้บ่อยๆ ผ่านแช ถ้าเป็นเรื่องจริงจัง ควรโทรหรือบอกต่อหน้า เช่น ขอบคุณที่เธอพยายามปรับตัวเข้ากับเพื่อนฉันนะ

7. สร้างข้อตกลงร่วมกันตั้งแต่ต้นในเรื่องสำคัญๆ การกำหนดขอบเขตว่าอะไรทำได้ ทำไม่ได้ ความคาดหวังของแต่ละฝ่าย และข้อจำกัดต่างๆ ให้ชัดเจนจะเป็นผลดีกับความสัมพันธ์ เพราะแต่ละคนอาจมีภาพในหัวไม่ตรงกันว่าความสัมพันธ์ที่ดีควรเป็นแบบไหน บางคนอนุญาตให้คู่ของตนไปนอนกับคนอื่นได้ ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่หลายๆ คนไม่สบายใจ หรือเรื่องทั่วไปที่อาจดูไม่มีอะไร เช่น ห้ามใส่ขาสั้นเวลาออกไปข้างนอก ต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยเวลาพบปะผู้คน อาจทำให้เกิดความวุ่นวายใจ ดังนั้น การตกลงกันให้ชัดเจนแต่แรกจึงสำคัญ 

8. แชร์เป้าหรือความฝันกัน สนับสนุนกันและกันว่า ให้แต่ละคนได้เดินบนทางที่ตัวเองต้องการ ทำให้คู่ของเรารู้สึกว่า ถึงล้มก็ยังมีคนอยู่ข้างๆ 

9. เข้าใจว่าครอบครัวมาก่อนเสมอ แม้การงานจะรัดตัวแต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือก ระหว่างงานกับครอบครัว ครอบครัวต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง

ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งหมดเป็นเพียงแนวคิดไม่ใช่กฏตายตัว และไม่มีอะไรการันตีว่าทำตามแล้วความสัมพันธ์จะรอดหรือหากไม่ทำแล้วรักจะต้องเลิกรา อยู่แต่ว่าแต่ละคู่จะเลือกประยุกต์ข้อไหนให้เข้ากับตัวเอง

เผยแพร่ครั้งแรก: เพจ he, art, psychotherapy ณ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563

อ้างอิง 

  • Len Sperry and Paul R. Peluso (2019). Couple Therapy: Theory and Effective Practice. Routledge : London 
  • Rachel Gillett. Power couples who stay together have 9 things in common. https://bit.ly/3m8pvPg