life

LOVE SESSION #4

‘การจากลา’

เราทุกคนต่างรู้ดีว่าต่อให้หลงรักอากาศเย็นๆ สักแค่ไหน อีกไม่นานสายลมของฤดูร้อนก็จะหอบเอาฤดูหนาวให้จากไปในไม่ช้าใครคนหนึ่งจากไปพร้อมกับสายลมในวันนั้น เรื่องราวของพวกเขากลายเป็นเพียงเรื่องเล่า และในตอนนั้นมวลมหาความเศร้าก็แผ่ปกคลุมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 

เมื่อวันคืนอันแสนหวานของความสัมพันธ์สิ้นสุดลง ดูเหมือนว่าใครสักคนจะติดอยู่ในวังวนแห่งความเศร้าโศกตลอดกาล ช่วงเวลาเหล่านั้นยาวนานจนดูเหมือนว่าต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อที่จะก้าวออกมา ก็ยังไม่พอ ในวันนั้นเราแทบไม่รู้เลยว่าการจมจ่อมอยู่กับความรู้สึกเดิม กับการตัดสินใจก้าวเดินต่อ แบบไหนที่ทรมานกว่ากัน 

นานแค่ไหนกว่าที่ท้องฟ้ามืดมิดจะกลับมาสว่างสดใสได้อีกครั้ง คนเราต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเรียกว่ามูฟออนได้ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ในตอนนี้เราเป็นอิสระจากความสัมพันธ์ในอดีตแล้วจริงๆ 

 

นานแค่ไหนถึงเรียกว่ามูฟออน

11 – 18 เดือน เป็นระยะเวลาเฉลี่ยที่คนคนหนึ่งจะสามารถทำใจจากการจากลาได้

ในปี 2550 นักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองเพื่อหาระยะเวลาที่แน่นอนของการทำใจจากความรักที่เพิ่งจบลง พบว่า 71% ของคนที่เลิกรากันไปจะรู้สึกดีขึ้นหลังผ่านไปประมาณ 3 เดือน 

ต่อมา ในปี 2560 ผลการสำรวจผู้คน 2,000 คน พบว่าเฉลี่ยแล้วพวกเขาจะทำใจได้ภายใน 6 เดือน และสำหรับคู่สมรสที่ตัดสินใจหย่าร้างจะใช้เวลาก้าวผ่านเรื่องเหล่านี้เฉลี่ยประมาณ 18 เดือน

 

“ไม่มีมาตรฐาน ไม่มีรูปแบบ สำหรับแต่ละคนที่ก้าวผ่านความเสียใจหลังเลิกรา”

Hilda Burke นักจิตบำบัด ที่ปรึกษาคู่รัก และผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Phone Addiction Workbook กล่าว

ความรักเป็นเรื่องยุ่งเหยิงและซับซ้อนเกินกว่าจะมีอะไรมากำหนด ในแต่ละความสัมพันธ์มีเรื่องราวที่ไม่เหมือนกัน ผู้ตกอยู่ในภวังค์รักแต่ละคนล้วนเติบโตและมีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน  บางคนทำใจได้เร็ว บางคนจมจ่อมอยู่เนิ่นนาน มีปัจจัยมากมายที่ทำให้การมูฟออนของเรายาวนานไม่เท่ากัน

 

เหตุผลที่ใครสักคนติดอยู่ในวังวนเป็นเวลานาน

ใครเป็นคนตัดสินใจ

คนที่ตัดสินใจยุติความสัมพันธ์อาจทำใจได้เร็วกว่าคนที่ไม่ได้เตรียมใจกับเรื่องนี้มาก่อน เพราะระหว่างที่อีกคนไม่ได้คิดว่าความรักจะจบลง ฝ่ายที่ครุ่นคิดและไตร่ตรองอยู่นานอาจใช้เวลาทั้งหมดนั้นค่อยๆ พาตัวเองเดินออกมาจากความรู้สึกโศกเศร้ารุดหน้าไปก่อนแล้ว เมื่อถึงวันสิ้นสุดจริงๆ คนที่พยายามฉุดรั้งจะก้าวผ่านช่วงเวลานี้ได้อย่างยากลำบาก

 

คุณค่าของความสัมพันธ์

บางครั้งการทำใจได้เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับว่าเราให้ค่ากับความสัมพันธ์ครั้งนี้มากแค่ไหน ยิ่งเราทุ่มเทและให้ความสำคัญกับความรักครั้งนี้มาก ก็จะยิ่งทำให้เราเดินต่อไปได้ยากขึ้นเท่านั้น ในความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ได้คาดหวังและจริงจังอะไร หากวันหนึ่งบทสนทนาของพวกเขาจะต้องจบลง ก็คงทำใจได้ไม่ยากเย็นเท่ากับบางคู่รักที่สะสมช่วงเวลาดีๆ ร่วมกันมาหลายปี 

 

โดนหักหลัง

การทรยศเป็นเรื่องเลวร้าย แต่หากต้องจากไป เราอาจรู้สึกขอบคุณที่ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น หากเป็นฝ่ายที่ถูกนอกใจ หักหลัง และทอดทิ้ง จะพบว่าแม้นั่นจะทรมาน แต่จะทำให้เราหลุดออกจากวังวนแห่งความเสียใจได้ง่ายขึ้น เพราะแม้จะร้องไห้แค่ไหน แต่ความจริงจะคอยย้ำเตือนเราเสมอว่า เรากำลังเสียน้ำตาให้กับคนที่ทำร้ายกันอย่างไม่ใยดี เมื่อความโกรธผสมกับความจริงตรงหน้า จะช่วยทำให้เราเดินออกมาจากความสัมพันธ์ที่เป็นพิษได้ง่ายกว่าการที่อีกฝ่ายยังเป็นคนดี และคอยห่วงใยกันอยู่ตลอดเวลา

 

เป้าหมายที่จะมูฟออน

การลืมใครสักคนจะยากหรือง่ายนั้นขึ้นอยู่กับแรงจูงใจส่วนตัวของเรา เหนือสิ่งอื่นใด ปัจจัยไหนๆ ก็ไม่สามารถมีผลกับเราได้มากเท่ากับว่าเรา ‘ต้องการจะมูฟออน’ จริงหรือเปล่า? หากเราถามตัวเองจนแน่ใจแล้วว่าต้องการจะก้าวเดินต่อไปจริงๆ แม้จะยังคงร้องไห้ ไม่นานทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ถ้าหากเรายังคงลังเล ลึกๆ ในใจยังอยากกลับไปซ่อมแซมความสัมพันธ์ที่เพิ่งพังครืนลงมา นั่นหมายความว่าเรายังไม่พร้อมสำหรับก้าวต่อไป สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้คนมูฟออนไม่ได้และใช้เวลานาน คือ ความจริงแล้วพวกเขาไม่อยากมูฟออนเสียมากกว่า 

เราจะออกจากวังวนแห่งความเสียใจได้อย่างไร

มีเป้าหมายที่แน่นอน

ถ้าต้องการหลุดจากวังวน ต้องไม่ยอมทนอยู่อย่างนี้” เป็นท่อนหนึ่งในเพลง ‘วังวน’ ของ ONEONE ยังใช้เตือนสติได้อยู่ตลอดเวลา ก่อนจะมูฟออน ลองตอบคำถามลึกๆ ในใจให้ได้ก่อนว่าเราอยากจะหลุดออกจากวังวนนี้ และพร้อมจะปล่อยให้เรื่องราวทั้งหมดเป็นแค่ความทรงจำหรือเปล่า 

หลายคนยอมที่จะทนทุกข์กับความเจ็บปวดอันเกิดจากความสัมพันธ์ เพราะกลัวความสูญเสียและไม่พร้อมรับมือกับชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป หลายคนยอมแอบรักข้างเดียวเป็นเวลานานๆ โดยที่แทบไม่ได้อะไรจากความสัมพันธ์แบบนี้ นอกจากอาการเสพติดความตื่นเต้นและความหวังที่เขาหยิบยื่นให้เป็นบางเวลา คล้ายๆ กับบุหรี่ที่มักจะมอบความผ่อนคลายอาบยาพิษให้เราเสมอ  

เราจึงจำเป็นต้องถามตัวเองจริงๆ จังๆ ว่าเราจะสูญเสียอะไรไปบ้าง หากต้องเลิกรักคนคนนี้ และบางทีเราอาจพบว่าเราแทบไม่ได้สูญเสียอะไรในชีวิตไปสักเท่าไหร่เลย

 

ค้นหาคุณค่าภายในตัวเอง

เราคงไม่เข้าใจประโยคที่บอกว่า “รักตัวเองก่อนจะรักคนอื่น” มากนัก จนกระทั่งวันหนึ่งที่จะไม่มีเขาอีกต่อไปแล้ว การที่จะมูฟออนได้อย่างยั่งยืนโดยไม่กลับมาอาลัยอาวรณ์ในคืนเหงาๆ อีกครั้งแล้วครั้งเล่า คือ เราต้องเห็นคุณค่าของตัวเองให้มากๆ นั่นอาจดูเป็นเรื่องที่ทำได้ยากในวันที่มวลแห่งความเศร้าเกาะกุมหัวใจเรา และความเชื่อมั่นที่เคยมีถูกทำลายไปหมดแล้ว แต่ยังมีหนทางอีกมากมายที่จะเรียกความมั่นใจในตัวเรากลับคืนมา

ลองหากิจกรรมใหม่ๆ ทำ นอกจากจะช่วยให้ไม่ฟุ้งซ่านแล้ว ยังทำให้เราเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้นอีกด้วย หากชอบศิลปะลองฝึกวาดรูป หากชอบออกกำลังกายลองเข้ายิม เลิกคาดหวังในตัวบุคคลและหันมาคาดหวังกับสิ่งตรงหน้าที่เรากำลังทำ เมื่อได้ใช้เวลากับกิจกรรมที่ชอบและพัฒนามันไปเรื่อยๆ เราอาจค้นพบตัวเองเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม และคุณค่าเหล่านี้จะไม่มีใครพรากมันไปจากเราได้ 

 

เลิกให้ท้ายตัวเองเสียที 

การดูรูปคนที่ชอบบ่อยๆ เหมือนอาการของคนติดของหวานที่ได้ชานมไข่มุกมาหล่อเลี้ยงให้หัวใจชุ่มฉ่ำ หากเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ยิ่งกว่ามูฟออนเป็นวงกลม รู้ตัวอีกทีเราอาจกำลังมูฟออนเป็นรูปหัวใจก็เป็นได้ 

ลองมาทิ้งรูปแบบชีวิตเดิมๆ และสร้างนิสัยใหม่ๆ ให้ตัวเอง อาจเริ่มจากการเลิกสอดส่องติดตามเขาในโซเชียลมีเดีย ค่อยๆ พาตัวเองออกมาจากวงโคจรนั้น จากที่เคยตอบแชทเร็วปานสายฟ้า ก็ให้ตอบช้าเหมือนว่าเราไม่ได้สนใจดูบ้าง แน่นอนว่าใครที่เคยลองทำแบบนี้คงรู้ดีว่านั่นเป็นความทรมานรูปแบบหนึ่ง แต่ไม่นานนักทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

ไม่ทำอะไรที่ชวนให้คิดถึง

เราทุกคนเก็บใครไว้ในบางเพลงเสมอ คงเป็นไปได้ยากสำหรับการมูฟออน หากเราเอาแต่ฟังเพลงเดิมๆ ที่ทำให้นึกถึงเขา สิ่งที่จะช่วยเยียวยาตัวเองได้มากที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เรานึกถึงคนรัก ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ เพลง หรือหนังที่เคยดูด้วยกัน 

 

ขอต้อนรับเข้าสู่เช้าที่ไม่คิดถึงกันอีกแล้ว

คล้ายกับในวันที่ตกหลุมรัก เรามักจะรู้จากส่วนลึกข้างในใจเราเองว่า ตอนนี้เราเป็นอิสระจากความสัมพันธ์ครั้งก่อนจริงๆ หรือยัง บางคนบอกว่าเมื่อพูดถึงเขาแล้วแทบไม่รู้สึกอะไรแล้ว บางคนบอกว่าเขาไม่ใช่คนแรกที่คิดถึงเมื่อตื่นนอนอีกต่อไป

งานวิจัยเกี่ยวกับการฟื้นตัวหลังถูกปฏิเสธ หรือ Changes in Self-Definition Impede Recovery From Rejection ระบุว่าคนที่ถูกปฏิเสธความรักมักจะกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว คนเราฟื้นตัวจากความเสียใจเก่งกว่าที่ตัวเราคิดไว้มาก เพียงในตอนที่ดำดิ่ง อาจเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากจนแทบจะมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ นั่นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะบางครั้งเราก็ตกเป็นทาสของอารมณ์และความอ่อนไหว แต่เชื่อว่าไม่นานเราจะหายดี จงยอมรับกับการจากลาและเก็บเป็นประสบการณ์เพื่อเรียนรู้กับความสัมพันธ์ครั้งต่อไป

 

ปล่อยฤดูหนาวครั้งก่อนให้เป็นแค่เรื่องเล่า และพร้อมรับฤดูหนาวครั้งใหม่

ไม่แน่ว่าสายลมเย็นๆ อาจพัดใครสักคนมาเจอกับเราก็เป็นได้.

อ่านบทความซีรี่ส์ LOVE SESSION ตอนอื่นๆ ได้ที่

 

อ้างอิง