น่ารักแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ
เห็นจะกลายเป็นท่อนเปิดของเพลงที่น้อยคนนักจะไม่ใส่ทำนองระหว่างอ่านตาม อย่างเพลง Microphone
(ไมโครโฟน) ที่มียอดวิวในยูทูปสูงถึง 175 ล้าน และผู้ที่รังสรรค์ท่อนฮุคเพลงฮิตนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล เขาคือ
ซีดี-กันต์ธีร์ ปิติธัญ (CDGuntee)
จากเด็กแสบวัยมัธยมต้นที่ฝันอยากเป็นศิลปิน ร่วมค้นฟ้าคว้าดาวด้วยนามสกุลเดอะสตาร์ 10 แล้วจึงเดินทางสายฮิปฮอปเป็นเส้นทางหลัก หล่อหลอมตัวเองจนกลายเป็น CDGuntee ที่มีโอกาสได้พก ไมโครโฟน กับ ความเหงาที่ซัดมา (Lonliness) ผ่านน่านฟ้าข้ามน้ำทะเลสู่รายการ The First Take ช่องยูทูปสายดนตรีของประเทศญี่ปุ่นที่มีกฎง่าย ๆ เพียง 1 ข้อ คือ คุณมีแค่ 1 เทค จะร้องสดอย่างไรก็ได้ตามใจ แต่จงโชว์ทุกอย่างที่คุณมีออกมาให้เต็มที่ โดยไม่มีโอกาสแก้ตัว
เราคิดว่านี่คงเป็นวาระอันดีที่จะได้พูดคุยกับเขาในฐานะ ‘คนไทยคนแรก’ ที่ได้ไปออกรายการ The First Take พร้อม ๆ ไปกับการพกข้อสงสัยไปถาม หลังจากฟังเพลงไมโครโฟนเวอร์ชั่น The First Take จบแล้ว ทำไมกลิ่นอายและความรู้สึกถึงแตกต่างไปจากเมื่อ 5 ปีก่อนถึงขนาดนี้
แน่นอนว่าคำตอบของซีดีนั้นแสนเรียบง่าย นั่นคือ “ผมโตขึ้น” แต่อย่างไร และขนาดไหน เราคงต้องขอยกหน้าที่นั้นให้เจ้าตัวเป็นคนบอกเล่าถึงช่วงชีวิตแห่งการเติบโต จากเด็กชายผู้มีความฝัน สู่ชายหนุ่มผู้คิดว่าจุคพีคของตนคือวันที่ตัวเองตาย
The First Take
ความรู้สึกแรกที่ The First Take ติดต่อมาเป็นยังไง
ผมไม่รู้จักรายการนี้เลย ตอนแรกที่เขาติดต่อมาเลยยังไม่ตอบว่าจะไปหรือไม่ไป ขอลองไปหาข้อมูลดูก่อน
พอเห็น Harry Style เห็น Maluma เห็นศิลปินระดับโลกหลาย ๆ คนไปกัน แล้วได้ไปดูคลิปหนึ่งที่คนไทยรีวิวว่าคอนเซปต์ของรายการนี้คือ Less Filter, More Music เราก็เซย์เยสเลย มันเจ๋งนะ เป็นครั้งแรกที่ไม่มีสิทธิ์แก้ตัว ชอบอยู่แล้วแบบนี้
ได้ข่าวว่าตอนที่ไป The First Take เป็นช่วงที่ป่วยอยู่
ใช่ มันเป็นช่วง 2 อาทิตย์ที่ผมป่วยหนักตั้งแต่อยู่ไทย แอดมิท 2-3 วัน เพราะว่าท้องเสีย แล้วผลตรวจร่างกายไม่ค่อยดี ค่าตับขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกินเหล้าสะสม หรือเป็นเพราะเที่ยวหนักตั้งแต่เด็ก
วันที่ไปถึงญี่ปุ่น ทุกวันตอนเช้าก่อนจะไปทำงาน ก่อนจะไปประชุม หรือก่อนจะไปถ่ายที่สตูดิโอ ผมจะต้องไปให้น้ำเกลือ ไปฉีดยาที่โรงพยาบาลญี่ปุ่น
เป็นเหมือนจุดเปลี่ยนในชีวิตของตัวเองอีกอันหนึ่งที่ทำให้ต้องหันมาดูแลตัวเอง ปาร์ตี้น้อยลง ดื่มน้อยลง และต้องทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาให้สำเร็จด้วย
นอกจากได้ไป The First Take ครั้งแรกแล้ว ยังได้เข้าโรงพยาบาลญี่ปุ่นครั้งแรกด้วย
ใช่ (หัวเราะ) เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ไปป่วยต่างประเทศ แต่ก็ผ่านมันมาได้ ก็โอเค
กดดันไหมพอเป็นแบบนั้น แถมยังมีคำว่า ‘คนไทยคนแรก’ พ่วงมาด้วย
พยายามไม่คิดอะไรแบบนั้น แต่จะตื่นเต้นมากกว่า ตื่นเต้นกับตัวเพลงไมโครโฟนด้วย เพราะมันมีเวอร์ชั่นที่คนจำ
มาก ๆ แล้วเราเอามาเปลี่ยนเป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง
เราเลือกเพลงเองไหม
เลือกเอง ปรึกษากับ Spatchies (โปรดิวเซอร์) ปรึกษากับทางค่ายว่าเพลงอะไรดีที่เหมาะสม
แล้วทำไมถึงเลือกเพลงไมโครโฟน
อย่างแรกคือ The First Take เขาอยากจะได้เพลงของเราที่มีคนรู้จักในไทยอยู่แล้ว
อย่างที่สองคือ พอได้หยิบเพลงนี้มาทำอีกครั้ง เรารู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้าไปได้ เป็นไมโครโฟนเวอร์ชั่นตัวเราในปี 2023 ซึ่งก็ได้ Spatchies มาช่วย arrange ใหม่ เพิ่มเมโลดี้เข้าไป เพิ่มกลิ่นดิสโก้นิดหนึ่ง เพิ่มความแตกต่างทางดนตรีที่ไม่มีอยู่ในซาวด์เก่า เป็นเหมือนเพลงใหม่ไปเลย
แล้วรู้สึกยังไงที่ได้ร้องไมโครโฟนเวอร์ชั่นตัวเราในปี 2023
เหมือนเพลงนี้มันเกิดใหม่อีกครั้ง ยังสนุกเหมือนเดิม แต่ผมว่ามันมีความโตขึ้น ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไปด้วย
ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปคือยังไง
ตอนนั้นเราเขียนเพลงด้วยความไม่คิดอะไรเลย ไม่มีความรู้อะไรเลย โหลดบีทมาจากยูทูป มีไมค์แค่ตัวเดียว ร้องตะโกนแหกปากอยู่ในบ้านเพื่อน วันต่อมาไปถ่าย MV แล้วก็ปล่อย ปึ้ง! แล้วคนก็แชร์ แล้วคนก็เห็นกัน แล้วเพลงก็ success แค่สนุกกับเพื่อนเท่านั้นเลย
ส่วนตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันเป็นงานที่เนี้ยบขึ้น มีความตั้งใจในรายละเอียดที่ต้องการจะใส่มากขึ้น รู้ว่าเราต้องการจะสื่อสารอะไรออกไป
ถ้ามองกันดี ๆ การไป The First Take มันลึกกว่าแค่เพลงที่ผมเอาไปร้อง มันมีการเตรียมตัว ทั้งพูดภาษาไทยกับพูดภาษาญี่ปุ่น เราคิดถึงขนาดว่า เราไปญี่ปุ่น คนที่นั่นเขาชอบสีสัน ชอบการแต่งตัว ชอบการทำสีผม เราเลยเอาความเป็นไทยครึ่งหนึ่งกับความเป็นญี่ปุ่นครึ่งหนึ่งมาอยู่ด้วยกันในแฟชั่นของเรา เสื้อผ้าที่เราใส่ไปเลยเป็นแบรนด์ไทยทั้งหมด
ถ้าเกิดเป็นเราเมื่อ 5 ปีที่แล้วคงไม่คิดอะไรแบบนี้ เราคงแบบ เอาเลยพี่ ลุย ๆ (หัวเราะ)
ถ้ามองย้อนกลับไปผ่านเพลงไมโครโฟน เราเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง
(ครุ่นคิด) ผมว่าตัวเองอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น โฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้น พยายามรับรู้ความรู้สึกของการอยู่ตรงนั้น
เมื่อก่อนผมอาจจะไม่ค่อยมีสติ ใช้ชีวิตแบบรู้สึกอะไรก็พูดออกไปเลย แสดงออกไปเลย แต่พอเราโตขึ้น เราจะรู้ว่า คำพูดนี้มันกระทบความรู้สึกเรา ปึ้ง! เราจะรู้สึกแล้วว่า เราโกรธอยู่ เราก็จะค่อย ๆ หายใจ ค่อย ๆ นิ่ง แล้วค่อยพูดออกไปว่าเรารู้สึกยังไง
พอเราโตขึ้นขนาดนี้ เรายังจำเด็กชายกันต์ธีร์ได้ไหม
จำได้แน่นอน
Take 1: เด็กชายกันต์ธีร์
เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเด็กชายกันต์ธีร์เป็นคนยังไง
เมื่อก่อนคือเกเรเลย แสบ ๆ มัน ๆ ตบหัวเพื่อน ไถเงินหน้าห้องน้ำ ดีลกับรถตุ๊กตุ๊กข้างโรงเรียนพาเพื่อนโดดเรียน 20 กว่าคนไปดูหนัง
มีจุดเปลี่ยนในชีวิตเยอะเหมือนกันตั้งแต่เราเป็นเด็กชาย
จุดไหนที่เปลี่ยนเราไปเลย
น่าจะเป็นตอน ม.3 ที่มีเรื่องกับรุ่นพี่ ม.4 แล้วโดนต่อยฟันหลุด 3 ซี่ ตอนนั้นคิดว่าต้องเอาคืนมันให้ตาย มึงกับกูต้องเอากันหน่อยละ
แต่ว่าวันหนึ่งทุกคนในบ้านก็มานั่งอยู่ในห้องเดียวกันเพื่อคุยกับเรา เตือนสติเราว่า บ้านเราเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยว อยู่ในที่แจ้งนะ ถ้าเกิดเราไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ ผลกระทบมันจะเป็นยังไง ทุกคนร้องไห้ เราทำย่าเสียน้ำตา เศร้ามากช่วงนั้น
ม.4 เลยโดนจับไปอยู่โรงเรียนประจำ ตัดสังคมจากเพื่อนที่อยุธยาไปเลย เริ่มกลับมาเรียนร้องเพลง เรียนเต้น ส่งคลิปไปออดิชั่นที่นั่นที่นี่ เพราะเรามีความฝันมาตั้งแต่เด็กว่า อยากจะเป็นนักร้อง เป็นศิลปิน หรือทำงานในวงการบันเทิง จนสุดท้ายก็ติดโปรเจกต์ G-Junior
นั่นคือความฝันของเด็กชายกันต์ธีร์ในตอนนั้นใช่ไหม
ผมว่าความฝันของผมตอนนั้นจริง ๆ คือ การได้เป็นศิลปินที่มีคุณภาพที่ให้อะไรสักอย่างกับคนดู
มีครั้งหนึ่งที่ พี่ชิน ชินวุฒ มาเล่นคอนเสิร์ตที่อยุธยา เราดูแล้วรู้สึกว่า ทำไมการที่คนคนหนึ่งขึ้นไป perform ขึ้นไปร้อง ขึ้นไปเต้น มันให้อะไรกับเราในวันนั้นได้มากขนาดนี้ มากจนเรารู้สึกว่า เราอยากกลับไปร้องเพลง เราอยากกลับไปเต้น
แล้วการร้องเต้นมาตอนไหน
เวทีแรกที่ผมขึ้นน่าจะ 3 ไม่ก็ 4 ขวบเลย เพราะว่าย่าจะมีสมาคมฮากกา แล้วเราก็ได้ขึ้นไปเต้น ขึ้นไปร้องเพลง แต่ที่เริ่มชอบจริง ๆ น่าจะตอน ป.5 มีโรงเรียสอนเต้น-สอนร้องเพลง มาเปิดที่อยุธยา เราได้รู้จักการเรียนร้องเพลง ได้รู้จักการเต้นว่ามีอะไรบ้าง แล้วเราสนุก ได้เพื่อน ได้สังคมจากตรงนั้นด้วย ทุกปิดเทอมก็จะไปร้องเพลงที่โลตัส บิ๊กซี หรือมีกิจกรรมเดินแบบก็จะลองไปดู
เราขอไปเรียนเองรึเปล่า
ไม่ ที่บ้านส่งไป เพราะเขารู้สึกว่า เราไม่ทำอะไรเลย (หัวเราะ)
ตอนนั้นผมติดเกมมาก ที่บ้านขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ข้างล่าง เราเล่น PS2 อยู่ข้างบน เขาเลยส่งเราไปลองเรียนดู แล้วกลายเป็นว่าเราชอบ ยาวเลยทีนี้
พอติด G-Junior แล้วชีวิตเราเป็นยังไงต่อ
ตอนแรกผมอยู่หอพักของโรงเรียนประจำ แล้วขอที่บ้านออกมาอยู่หอข้างนอกแถว ๆ ตึกแกรมมี่ ทุกเช้าผมต้องตื่นประมาณตี 4 ไปนั่ง MRT อีก 7 สถานี ต่อด้วยวินมอเตอร์ไซค์ เพราะปิ่นเกล้ากับอโศกมันไกลกันมาก พอเลิกเรียนต้องรีบกลับมาให้ถึงแกรมมี่ก่อน 5 โมง ซ้อมร้องเพลง ซ้อมเต้น เพราะตอนนั้นเป็นศิลปินฝึกหัด
อยู่อย่างนั้นประมาณ 2-3 อาทิตย์ สุดท้ายบอกที่บ้านว่า ไม่ไหวเลย ไปเรียนก็ไม่ได้อะไร แต่พูด
จริง ๆ ผมก็ไม่ใช่เด็กเอาเรียนอยู่แล้ว (กระซิบ) เลยขอเขาลาออกจากโรงเรียน เพื่อไปทำในสิ่งที่ชอบ
แล้วที่บ้านให้ไหม
เขาให้! เหมือนเขาเชื่อว่าเราจะทำได้ ที่บ้านมักจะพูดให้กำลังใจเราเสมอ ไปเลย เอาเลย ลุยเลย
เลยได้ออกจากโรงเรียน แล้วไปฝึกทุกวัน แต่พอใกล้ ๆ จบโปรเจกต์ มันกลับเงียบไป กลายเป็นว่าเราเคว้งคว้าง
พอเคว้งคว้างแล้วเราไปไหนต่อ
เราไปเรียนเต้นเพิ่ม จนได้เจอ ครูอู๋ D Dance เขาก็ให้โอกาสเราได้เป็นแดนซ์เซอร์ ได้ไปเต้นในงาน Hormones Day / Night ได้ไปขึ้นอิมแพค ได้ไปเป็นแดนซ์เซอร์ให้ AF10 แล้วก็ได้เต้นเล็ก ๆ น้อย ๆ จนมีเดอะสตาร์เข้ามา
Takes 2: ซีดี เดอะสตาร์
ทำไมถึงเลือกไปเดอะสตาร์
เพราะว่าเดอะสตาร์เป็นรายการที่เราดูกับที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก ๆ เราพูดเสมอว่า เราชอบรายการนี้ มันดูสนุกดี พอเดอะสตาร์ 10 มา เราก็เลยไป แต่จริง ๆ ผมไม่ได้ไปเดอะสตาร์ 10 เป็นปีแรกนะ
แล้วครั้งแรกคือปีไหน
น่าจะเป็นเดอะสตาร์ 7 แต่ตอนนั้นอายุ 14 อายุไม่ถึง อยากลองไปดูว่าเขาจะให้ไหม สรุปเขาไม่ให้ มาติดอีกทีปี 10 แล้วก็ได้ที่ 3
การได้ทำงานในรายการที่เราชอบมันเป็นยังไง
โห มันเหนื่อย มันหนัก ทุกสัปดาห์ต้องเตรียมตัว ฝึกเต้น ฝึกร้องเพลง ฝึกแอคติ้ง วันเสาร์ perform เสร็จ โดนคอมเมนต์ด่าอีก ผมโดนทุกสัปดาห์ แทบจะไม่มีสัปดาห์ไหนเลยที่ไม่โดนด่า นอกจากสัปดาห์แรก
ทำไมตอนนั้นเราถึงโดนด่า
ไม่มีความเป็นธรรมชาติตอนอยู่บนเวที ดูเกร็ง ดูกดดัน ซึ่งมันก็จริงนะ น่าจะเพราะตอนนั้นเรายังเด็กด้วย โดนอะไรไม่รู้ประโคมใส่หลาย ๆ อย่าง แล้วตั้งตัวไม่ทัน มันต้องยังไงวะ กูต้องทำยังไงต่อเนี่ย
แต่เราจริงจังกับมันมากเลยใช่ไหม
แน่นอนอยู่แล้ว เต็มที่ 100% แต่ก็ยอมรับว่าไม่ได้ออกมาดีมาก ในตอนนั้นมันอาจจะยังไม่ใช่เวลาของเรา
แปลว่าเราเชื่อว่ามันจะมีจังหวะหนึ่งที่เป็นเวลาของเรา
ใช่
Take 3: CDGuntee
การเดินทางสายฮิปฮอปคือจังหวะเวลาของเราใช่ไหม
มันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านมากกว่า เราได้ออกมาจากเดอะสตาร์แล้ว เราชวนเพื่อนจากอยุธยา ชื่อ ดาวุธ (Dawut) มาเริ่มทำเพลงด้วยกัน เราจะได้ทำเพลงฮิปฮอปตามใจหวังเราแล้ว
ซึ่งจริง ๆ เราชอบเพลงฮิปฮอปอยู่แล้ว
รักเลย
จริง ๆ ผมชอบดนตรีหลาย ๆ แบบนะ อย่าง Retrospect ก็ทำผมตอนเด็ก ๆ บ้าว้ากอยู่คนเดียในห้อง หรือว่า Southside กับ Thaitanium ผมก็อินมาก ๆ แม้แต่ กอล์ฟ-ไมค์ ผมก็ชอบ มันเหมือนเราชอบงานศิลปะหลาย ๆ แบบ ไม่มีตายตัว
ซึ่งผมมีความชอบแบบนี้อยู่แล้วมาตั้งแต่แรก แค่ตอนนั้นมันอาจจะอยู่ในมุมที่คนอื่นไม่เห็นมากกว่า ตอนที่ทำ cover ในยูทูป ผมก็เริ่มแต่งแร็ปของตัวเองแล้ว
แล้วได้ประสบการณ์อะไรกลับมาจากการไป The Rapper
ได้ลดอีโก้ของตัวเองลง แล้วก็ได้เห็นอะไรมากขึ้น เรียนรู้มากขึ้น
ถ้าพูดให้เห็นภาพก็คือ ผมอยู่กับดาวุธ ทำเพลงกันอยู่ 2 คน คิดว่าเพลงเราแม่งเจ๋งแล้ว แต่พอเข้าไปอยู่ใน The Rapper มันเหมือนปลา 2 ตัวที่เคยอยู่แต่ในตู้มาตลอดโดนจับโยนลงไปในมหาสมุทร ลงไปเจอปลาฉลาม ลงไปเจอปลาวาฬ ไปเจอปลาอะไรก็ไม่รู้ โอ้ มาย ก๊อด! มันตื่นเต้นว่ะ แต่ละคนเขามีกันหลายวิชามาก
คิดว่ากระแสเราดีขนาดไหนหลังจบจากรายการมาแล้ว
ดีเลย พอปล่อยเพลงไมโครโฟนออกไป เพลงเดียวเปลี่ยนชีวิตมีจริงในตอนนั้น เราได้ไปเล่นคอนเสิร์ต มีงานในห้าง มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ ได้ไป featuring เพลงกับคนนู้นคนนี้
แล้วก็ถูกขัดขาด้วยใบแดง ตอนนั้นรู้สึกยังไง
รู้สึกคิดถึงเพื่อน ๆ ที่ต้องไปทัวร์กับเรามากกว่า แบบ เชี่ย มันจะทำยังไงกันวะเนี่ย
ได้แต่บอกว่า เฮ้ย เหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ว่ะ กูก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่ว่ามันเกิดขึ้นไปแล้ว
Takes 4: พลทหารซีดี
จำความรู้สึกวันที่ไปจับได้ไหม
วันนั้นผมตั้งใจจะไปผ่อนผัน ยื่นเรื่องผ่อนผันเรียบร้อยแล้วด้วย จนวินาทีสุดท้ายที่เขาถามว่าจะผ่อนผันหรือจะจับเลย ผมก็แบบ เอาวะ ขี้เกียจมาทุกปี สงกรานต์ทำไมกูต้องมาที่นี่ จับแม่งเลยจะได้จบ ๆ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้
ผมก็ไปนั่งรอจับ ทีนี้มันมีคนนั่งอยู่ข้าง ๆ ผม ไม่รู้จักกันนะ ผมก็ชวนคุย
เหลือ 40 ใบเว้ย
เหลือ 30 ใบเว้ย
เหลือ 10 ใบแล้วเว้ย ไม่โดนแน่เลย
จนมันเหลือ 6 ใบตอนถึงคิวผม แล้วนั่งกันอยู่ 30 คน ผมก็หันไปบอกคนข้าง ๆ ว่า เดี๋ยวกูไปจับก่อนนะ
ลุกไปจับ ปั๊ป ทบ. ผลัด 2 เรียบร้อย (หัวเราะ) แล้วไอ้นั่นก็เดินมาตบบ่าบอกไม่เป็นไรนะ
พอจับเสร็จแล้วจำอะไรไม่ได้เลย เหมือนฝัน ช็อคไปเลยตอนนั้น รู้ตัวอีกทีหนึ่งคือตอนยืนอยู่ที่รถ นี่กูโดนใบแดงแล้วนี่หว่า มันต้องทำยังไงวะ ผลัด 2 คืออะไร กูต้องไปเลยไหม ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่ ผมมีเวลาเตรียมตัวอีก 6 เดือน
เลยได้เพลง ‘ใบดำ’ มา เป็นเหมือนเพลงส่งท้ายก่อนไปอยู่ในกรมทหาร
แล้วเราขอคำปรึกษาจากใครมั่ง
โทรหาชินวุฒเลย! แล้วตอนนั้นไมโครโฟนกำลังดัง ผมก็โทรไป พี่ชินรับสาย ประโยคแรกของพี่ชินคือ น่ารักแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ (หัวเราะ)
แล้วพี่ชินให้คำปรึกษาอะไรบ้าง
นิ่งเข้าไว้ อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้ (หัวเราะ)
เล่าประสบการณ์ตอนอยู่ในกรมให้ฟังหน่อย
แต่ละคนคงมีประสบการณ์ไม่เหมือนกัน ของผมอย่างแรกน่าจะเป็นเรื่องของการถูกปฏิบัติ เพราะเราทำงานมาตั้งแต่อายุ 16 จนอายุ 22 ที่ผมเข้าไปเป็นทหาร จากเดิมที่เราจะได้รับการดูแลที่ดีจากผู้จัดการ จากคนรอบข้าง แต่ว่าพอไปอยู่ตรงนั้นมันมันเหมือนเราอยู่ต่ำสุด ทุกคนได้รับการดูแลเท่ากัน
อีกอย่างคือ บางเรื่องที่เราไม่อยากทำ เราก็ต้องทำ ทีนี้มันเหมือนเขาเลี้ยงกบเอาไว้ ซึ่งต้องไปให้อาหารทุกเช้า แล้วเขาเลือกให้ผมไปทำ! ผมไม่ชอบเลย แบบไม่ช๊อบ ผมกลัวกบ กลัวคางคกมาตั้งแต่เด็ก แต่ทุกวันตอน 8 โมงเช้า กูต้องไปยกกบออกมาให้อาหาร! ครั้งแรกผมกรี๊ดเลยนะเว้ย แบบ อ๊ายยยยย เหี้ยอะไรเนี่ย จนตอนนี้หายกลัวไปแล้ว
คิดว่าวันนั้นถ้าเราได้ใบดำอะไรจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างจากตอนนี้
(ครุ่นคิด) ไม่รู้เลย
แต่ว่าการจับได้ใบแดงมันทำให้ผมเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย ผมโตขึ้น มีความอดทนมากขึ้น นอกจากความอดทนทางร่างกายที่จะต้องเหนื่อยในแต่ละวันแล้ว ความอดทนในเรื่องจิตใจที่มีต่อคำพูดคน หรือว่าในสิ่งที่โดนกระทำ ทุก ๆ อย่างที่เราคงไม่มีวันโดน ถ้าเกิดเราไม่ได้เข้าไป มันทำให้เรานิ่งขึ้น
แล้วนอกจากเราโตขึ้น นิ่งขึ้น อะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างตอนออกมาจากกรม
สิ่งที่เกิดความเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือ ความกล้าผมหายไป ความกล้าที่จะเป็นตัวเอง เวลาที่ใครคุยกับผมตอนนั้น ผมจะตอบรับแบบ ครับ ได้ครับ โอเคครับ มันกลายเป็นแบบนี้ไปเลย เหมือนเราต้องรอให้คนมาป้อนข้อมูลถึงจะซ้ายหันขวาหัน เราทำตัวไม่ถูก เราอยู่ข้างในกรมเป็นปี ๆ จนมันชินไปแล้ว
เป็นอยู่นานไหม
น่าจะหลายเดือนอยู่กว่าจะกลับมาเป็นปกติ
แล้วเราคิดถึงการทำเพลงขนาดไหนตอนอยู่ในกรม
มันคิดถึงอยู่แล้วแหละ พอออกมาจากกรมก็ลุยทำเพลงเลย แต่ตอนอยู่ในนั้นเราต้องโฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้า จะไปคิดฟุ้งซ่านมากไม่ได้ บางทียืนต่อแถวอยู่ ยืนตรง ซ้ายหัน ขวาหัน มันก็ต้องทำแค่นั้น ถ้าเกิดเราเหม่อไปคิดเรื่องอื่น แล้วซ้ายหัน กูไม่หัน กูโดนนะเนี่ย แล้วไม่ได้โดนคนเดียว โดนกันทั้งหมด
Takes 5: CDGuntee’s Back Again
ตอนไหนที่เรารู้สึกว่าเราชอบทำเพลงมากที่สุด
น่าจะช่วงที่ได้เริ่มทำเพลงกับดาวุธ ช่วงเริ่มทำไมโครโฟน ตอนนั้นเรารู้สึกแฮปปี้กับการทำเพลงมาก อยู่ในห้องคนเดียว โวกเวกโวยวาย โว้ว ๆ แล้วพอเพลงออกไป ภาพที่เราจินตนาการเอาไว้มันกลายเป็นจริงอยู่ตรงหน้าเรา
มันบ้านะเว้ยที่มีคนร้องตามหรือตะโกนในสิ่งที่เราเขียน
แล้วทำไมเราถึงหยุดการเต้นที่เราเรียนมาตลอด
มันอาจจะเป็นความคิดหรือความเชื่อในตอนนั้นของเราที่รู้สึกว่า ไม่เห็นจำเป็นเลย แค่ทำเพลงก็พอแล้ว ทำในแบบที่เราทำก็พอ ไม่เห็นจะต้องดูแลตัวเองเลย หน้าตาจะเป็นยังไงก็ได้ จะปล่อยผมให้เซอร์ยังไงก็ได้ ไม่เต้นเพื่อให้มันดูจริงที่สุด
พอผ่านจุดนั้นมาเราก็รู้สึกว่า แล้วทำไมกูถึงไปคิดแบบนั้นวะ (หัวเราะ)
เพลง Butterfly เลยเป็นการกลับมาเต้นอีกครั้งใช่ไหม
ใช่ มันน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนอีกอย่างหนึ่งเหมือนกันที่ผมรู้สึกว่า เอ้า ทำได้ก็ทำสิ แล้วมันก็ทำให้เราไม่เหมือนใครด้วย
เราเลยกลับมาร้องเพลง กลับมาเต้น กลับมาทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ กลับมาเป็นตัวเราในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด และพัฒนามันต่อไป
แล้ว CDGuntee ในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดอยากทำเพลงแบบไหน
ผมอาจจะตอบไม่ได้ว่าเป็นแนวไหน เพราะผมรู้สึกว่าดนตรีมันมีความหลากหลาย ผมแค่อยากทำเพลงที่มันให้อะไรใหม่ ๆ ไอเดียใหม่ ๆ หรือว่ามุมมองใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น ลองเอาลิเกมาผสมกับแร็ป ออกมาเป็น ‘พระเอกลิเก’ ผมแฮปปี้มาก ผมรู้สึกว่ามัน create ดี สนุกด้วย
เพลงของผมมันมักจะเกิดจากสิ่งที่ผมรู้สึกเยอะมาก รู้สึกมีความฝัน รู้สึกมี passion รู้สึกอยากที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ และก็รู้สึกว่าเป็นความหวังให้กับทุกอย่างได้ หมายถึง บางทีจะมีช่วงเวลาที่เรารู้สึกแย่ รู้สึกเฟล รู้สึกท้อ ผมแค่อยากบอกกับตัวเองว่า ทุกอย่างมีขึ้นมีลง และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่ว่าเราก็ยังต้องทำต่อไป เพราะเรายังหายใจอยู่
Only 1 Take
มีจุดไหนในชีวิตไหมที่เราอยากคัต แล้วขึ้นเทคใหม่
ไม่มี (ตอบทันที)
ผมคิดว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตมันดีที่สุดแล้ว มันเป็นแบบนั้น และมันก็ควรจะเป็นแบบนั้น
ถ้าอย่างนั้นคิดว่าอายุ 26 ปีคือจุดพีคของเรารึเปล่า
ไม่ใช่ (ตอบทันที)
ต้องขนาดไหนถึงจะเรียกว่าจุดพีค
จุดพีคของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ผมรู้สึกว่า จุดพีคของผมคือวันที่ผมตาย
ทำไม
จุดพีคของแต่ละคนคืออะไรผมไม่รู้ แต่สำหรับผม ผมยังพีคขึ้นได้ทุกวัน เพราะทุกวันเรายังเรียนรู้ได้ ทุกวันเรายังพัฒนาได้ ทุกวันเรายังทำให้มันดีขึ้นได้มากกว่าเมื่อวาน แค่นี้เราก็ภูมิใจกับตัวเองแล้ว
อย่างเพลง ‘ชิซุกะ’ ที่พึ่งปล่อยไปล่าสุดก็เป็นครั้งแรกที่ผมทำดนตรีขึ้นมาเอง ไม่เคยมีเพลงไหนที่เราทำดนตรีเองเลย พอทำแล้วรู้สึกว่า เอ้ย เราทำได้นะ ถ้าเกิดว่าเรามีเวลาให้กับมัน เรียนรู้มัน ผมว่าผมสนุกกับตรงนี้มากขึ้น
งั้นคำถามง่าย ๆ เลย ความฝันของ CDGuntee ในตอนนี้คืออะไร
ความฝันของผมไม่ได้มีอะไรมาก ขอแค่ดีกว่าเมื่อวาน ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ กว่าเมื่อวาน โตขึ้นกว่าเมื่อวาน พัฒนาขึ้นกว่าเมื่อวาน ได้ภูมิใจในตัวเองมากขึ้น ได้มีรอยยิ้มมากขึ้น แข็งแรงมากขึ้น มีวินัยมากขึ้น มีสติมากขึ้น และได้ส่งพลังให้กับผู้คนมากขึ้นเท่าที่มีโอกาส
แล้วความฝันเรื่องเพลงล่ะ
ถ้าก่อนไมโครโฟนคงขอให้เพลงดัง กลัวไม่มีคนฟัง
ตอนนี้ไม่กลัวแล้วเหรอ
ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกกดดันหรือคาดหวังอะไรมากเหมือนตอนนั้นแล้ว เรารู้สึกว่า มันเป็นหน้าที่ของคนอื่น มันไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปบังคับให้เขารู้สึกยังไงกับเพลงของเราได้ หน้าที่ของเราคือการใส่ใจกับเพลงให้มันออกมาโอเคมากที่สุด และเราก็ต้องแฮปปี้กับมันมากที่สุด ภูมิใจกับมันมากที่สุด และต้องชอบมันมากที่สุด
แล้วเรากลัวอะไรแทนตอนนี้
สุขภาพสิ ก็ค่าตับผมขึ้น (หัวเราะ)
ก่อนจากกัน ยกตรงนี้ให้เป็นกิตติกรรมประกาศประจำบทความ
ถ้าเกิดจะพูดเป็นรายชื่อผมกลัวจะพูดไม่ครบ มีคนเยอะมากที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนี้ ไม่ว่าจะเป็นครู ไม่ว่าจะเป็นคนรัก ไม่ว่าจะเป็นศัตรู ทุกคนทำให้ผมยังอยู่ตรงนี้ ทำให้ผมเป็นผมในทุกวันนี้ บางอย่างเราได้รับมา บางอย่างเราได้ส่งไป ขอบคุณทุกคน
อีกอย่างหนึ่งคือ ต้องขอบคุณตัวเองที่ยังทำอยู่ ยังฝันอยู่ ยังไม่ทิ้งมัน จนเราได้มาเซ็นสัญญากับ Sony จนเราได้มาทำงานกับคนเก่ง ๆ มากมาย จนเราได้มีโอกาสไป The First Take
ต้องขอบคุณ CDGuntee