ลองนึกภาพสายส่งน้ำดับเพลิงจากทุกหน่วยในอังกฤษ ที่หมดอายุการใช้งานพร้อมกัน
พวกมันถูกปลดประจำการ และนำมาทิ้งเป็นขยะรวมกันที่นอกเมือง
สายดับเพลิงเหล่านั้น กำลังจะสร้างปัญหาหนักใจให้กับหน่วยงานกำจัดขยะ
แต่นักออกแบบอย่าง เอลวิส (Elvis) และ เกรซซี่ (Kresse) กลับตกหลุมรักกับ ‘ขยะ’ กองโตของหน่วยดับเพลิง
เข้าไปกอบกู้ และให้ชีวิตใหม่กับสายดับเพลิง
“สิ่งที่เราทำมี 3 ขั้นตอน ‘กอบกู้ แปลงโฉมเพื่อเพิ่มมูลค่า แล้วคืนคุณค่าสู่สังคม’
“ของพวกนี้มันสวยงามและอยู่ในสภาพที่ดีมาก แทนที่จะปล่อยให้เป็นขยะ เราใส่ความคิดสร้างสรรค์ และงานฝีมือที่ประณีตลงไป”
คำว่า ‘เพิ่มมูลค่า’ ของทั้ง 2 คน ไม่ใช่แค่การ Re-use หรือ รีไซเคิล ของเหลือใช้ให้กลับมาใช้ใหม่ได้เท่านั้น
แต่เป็นการ Transform หรือ แปลงโฉมวัตถุดิบแบบ ‘เล่นใหญ่’
เพราะเอลวิสและเกรซซี่เปลี่ยน ‘ขยะ’ ให้เป็นสินค้าลักซ์ชัวรี่ (Luxury Product) ภายใต้แบรนด์ Elvis & Kresse
มากไปกว่านั้น กำไร 50% จากการขายสินค้า พวกเขาบริจาคให้การกุศล
‘เปลือก’ หรือ ‘แก่นแท้’ อะไรคือลักซ์ชัวรี่
“ไม่มีข้อจำกัดไหนเลย ที่กำหนดว่าวัสดุใดสามารถทำสินค้าลักซ์ชัวรี่ได้ วัสดุใดทำไม่ได้”
Elvis & Kresse มุ่งมั่นมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งแบรนด์ในปี 2005 ว่าพวกเขาจะให้ความหมายของ ‘ลักซ์ชัวรี่’ ใหม่ ว่าไม่ใช่แค่ ‘เปลือกภายนอก’
พวกเขานำเสนอความหรูหรา ผ่านแว่นตาของสิ่งแวดล้อม และการบริโภคอย่างมีจริยธรรม
กล่าวคือ การใช้จ่ายอย่างหรูหรา ต้องไม่สร้างพิษภัยให้แก่โลก ในทางตรงกันข้าม ‘เราต้องช่วยโลก’
“ในมุมผู้ผลิตสินค้า มันคือการดึงคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งนั้นออกมา อะไรที่ไม่ฉาบฉวยและจะเป็นคุณค่าที่อยู่คู่สิ่งนั้นไปตลอด เขาถึงจะเรียกว่าคลาสสิค
“เราอยากให้ทุกคนละเมียดกับความสวยงามมากกว่าเดิม ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า ของสิ่งนี้ยังมีคุณค่าอยู่ไหม ถ้าราคาที่คุณจ่ายไปกำลังไปทำร้ายอะไรบางอย่าง สำหรับเรานั่นไม่ใช่ความหรูหราเลย และเราก็ไม่ควรปล่อยให้แบรนด์ใหญ่ๆ เป็นผู้กำหนด ว่าอะไรคือลักซ์ชัวรี่”
สิ่งที่ Elvis & Kresse ทำมาตลอดคือ เนื้อแท้ของความลักซ์ชัวรี่ไม่ได้อยู่ที่วัสดุเพียงอย่างเดียว
พวกเขาสร้างสินค้าลักซ์ชัวรี่ จากวัสดุอะไรก็ได้ ผ่านสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘แก่นของความคิด’
ต่อมาคือ ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) และ ความประณีตพิถีพิถัน (Crafmanship) ในการผลิตชิ้นงาน
จากสายส่งน้ำดับเพลิง จึงขยายไปสู่วัสดุอื่นอีกกว่า 15 ชนิด อาทิ ผ้าใบร่มชูชีพ กระสอบใส่ชา-กาแฟ เศษหนัง กล่องรองเท้า ซึ่งทุกชิ้นล้วนเป็นวัสดุที่คนอื่นบอกว่าไร้ค่า
จากแบรนด์เล็กๆ สู่พาร์ทเนอร์หลักของ BURBERRY
แนวคิดที่แข็งแกร่ง และคุณภาพงานอันประณีตของ Elvis & Kresse ไม่ใช่แค่คนซื้อที่มองเห็น แต่แบรนด์ใหญ่ก็ให้ใจ และมองว่า นี่แหละสิ่งที่เราตามหา
ปี 2012 ลักซ์ชัวรี่แบรนด์ระดับโลกอย่างเบอร์เบอรี่ (BURBERRY) เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ของ Elvis & Kresse เพราะมั่นใจว่าลักซ์ชัวรี่แบรนด์เล็กๆ แบรนด์นี้ สามารถแก้ปัญหาหนักอกของเบอร์เบอรี่ พร้อมทั้งผลิตงานที่มีมาตรฐานเทียบเท่ากับเบอร์เบอรี่ได้
แต่ละปี เบอร์เบอรี่มีเศษหนังเหลือทิ้งจากการผลิตกระเป๋า รองเท้า จำนวนหลายสิบตัน
หนังเหล่านั้นไม่เคยเป็นอะไรได้มากกว่าขยะ ทั้งๆ ที่เนื้อแท้ของมันคือวัสดุราคาแพง
เบอร์เบอรี่ มอบหนังและความไว้วางใจทั้งหมดให้ Elvis & Kresse เป็นผู้ผลิตและจำหน่าย ภายใต้ความร่วมมือของเบอร์เบอรี่
เศษหนังเหล่านั้นได้รับการแปลงโฉมเป็นเฟอร์นิเจอร์ และกระเป๋าสวยหรูใบใหม่ ในคอนเซ็ปต์ ‘ความหรูหราที่ยั่งยืน’
5 ปีผ่านไป Elvis & Kresse ได้ช่วยชุบชีวิตเศษหนังเหลือทิ้งของเบอร์เบอรี่ ไปกว่า 120 ตัน
คริสโตเฟอร์ เบลลีย์ (Christopher Bailey) ประธานและหัวหน้าฝ่ายสร้างสรรค์ของเบอร์เบอรี่กรุ๊ป เคยกล่าวถึงความร่วมมือกันครั้งนี้ ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่เบอร์เบอรี่ภูมิใจที่สุด
“
ความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา ทำให้หนังเหลือทิ้งของเรากลายเป็น innovative products ทุกครั้งที่เราเห็นหนังจำนวนมากต้องถูกตัดทิ้ง เหมือนเราเฉือนของมีค่าทิ้งไป ทั้งๆ ที่มันควรจะนำไปทำอะไรที่ดีได้ และ Elvis & Kresse ก็ทำให้เราเห็น ว่าความคิดสร้างสรรค์ และความประณีตพิถีพิถันของพวกเขา ไม่เพียงแค่แก้ปัญหาให้โลก แต่ได้สร้างคุณค่าให้ตัวสินค้าแบบทวีคูณ
”
ของอะไรที่มันมีค่า จะยังทรงคุณค่าอยู่อย่างนั้น ไม่มีวันเสื่่อม
เพียงแค่เราต้องแสดงเนื้อแท้ของคุณค่านั้น ออกมาอย่าง ‘จริง’ ที่สุด
การเข้ามาของเบอร์เบอรี่ จึงเหมือนการเติมเต็มความหมายให้ ‘แก่นแท้ของลักซ์ชัวรี่’ ที่ Elvis & Kresse พยายามสื่อสารให้สมบูรณ์
เบอร์เบอรี่ และ Elvis & Kresse ใช้เวลาถึง 2 ปี ในการหาวิธีการที่ดีที่สุด เพื่อผลิตชิ้นงานและทำงานร่วมกัน
“เรามองภาพเดียวกัน ว่าคุณค่าของลักซ์ชัวรี่ ไม่ควรอยู่แค่เปลือกนอก ในขณะเดียวกันเบอร์เบอรี่ก็ให้ความสำคัญในทุกรายละเอียด งานต้องเนี้ยบที่สุด เวลาที่เสียไป 2 ปี เราเชื่อว่า เราได้สิ่งที่มีคุณค่ากับทั้ง 2 ฝ่าย”
ตลอด 5 ปีที่เมกะแบรนด์อย่างเบอร์เบอรี่ และบูทีคแบรนด์อย่าง Elvis & Kresse เป็นพาร์ทเนอร์กันอย่างจริงจัง ได้สร้างส่วนผสมใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลกแฟชั่น
พวกเขากำลังสร้างนิยามใหม่ของลักซ์ชัวรี
ขณะเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างเข้ามาเติมเต็มในสิ่งที่ตัวเองขาด
เบอร์เบอรี่ ต้องการคนที่มีครีเอทีฟ เข้าใจในวัสดุเหลือใช้ และผลิตชิ้นงานคุณภาพสูงตามมาตรฐานของตนได้
ขณะที่ Elvis & Kresse ต้องการคนที่เสียงดังพอที่จะสื่อสารแนวคิดของพวกเขา
แนวคิดที่กำลังตั้งคำถามกับคนรวยทั่วโลกว่า
“สิ่งของที่อยู่ในมือคุณ คือลักซ์ชัวรี่ที่แท้จริงหรือไม่”
อ้างอิง:
- Lily Courtauld. Discover sustainable luxury with Elvis & Kresse. http://bit.ly/2uTYWnl
- Elvis & Kresse. HE BURBERRY FOUNDATION PARTNERS WITH ELVIS & KRESSE. http://bit.ly/2Ibx5rc
- WWD. Burberry Foundation, Elvis & Kresse Prepare to Tackle Leather Waste. http://bit.ly/2P2ZBfc
- Megan Doyle. From Landfill to Luxury With Elvis & Kresse. http://bit.ly/2P2j0gv
- Exclusive Channel. THE BURBERRY FOUNDATION PARTNERS WITH ELVIS & KRESSE TO TACKLE WASTE CREATED BY THE LEATHER GOODS INDUSTRY. http://bit.ly/2X1A7l9
- Elias Jahshan. Burberry launches partnership to tackle leather waste. http://bit.ly/2Io1WjN
- 1 Million Women. This Company Turns Waste Into Value. http://bit.ly/2I9fu3p