เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2020 ขณะที่ทั้งโลกกำลังตั้งรับกับการเริ่มแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 องค์การอนามัยโลกได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ขณะนี้ไม่มีประเทศใดในโลกที่มีทั้งสุขภาวะที่เหมาะสม และสภาพแวดล้อมที่ดีพอให้เยาวชนได้เติบโตอย่างมีอนาคตที่สดใส
การจัดอันดับความเป็นไปได้ที่ 180 ประเทศทั่วโลกจะสามารถเป็นสถานที่สำหรับเด็กให้เติบโตขึ้นอย่างมีอนาคตที่สดใสได้หรือไม่นั้น เกิดจากความร่วมมือขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization) กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือยูนิเซฟ (UNICEF) และวารสารการแพทย์แลนเซ็ท (The Lancet)
ปัจจัยที่นำมาพิจารณามีทั้งคุณภาพการศึกษา ภาวะโภชนาการ อัตราการเสียชีวิตของเด็ก ไปจนถึงอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยแบ่งการจัดอันดับออกเป็น 2 ประเภท คือ ความรุ่งโรจน์ของเด็ก และดัชนีความยั่งยืน
![green curriculum](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/08/body-green1.jpg)
ผลการจัดอันดับปรากฏว่าประเทศที่ความรุ่งโรจน์ของเด็กอยู่ในเกณฑ์ดีที่สุด ได้แก่ นอร์เวย์ ตามด้วยเกาหลีใต้ และเนเธอร์แลนด์ (ส่วนไทยอยู่ที่อันดับ 64 จากทั้งหมด 180 ประเทศ)
ส่วนการจัดอันดับดัชนีความยั่งยืน ซึ่งพิจารณาจากอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ว่าเกินเป้าหมายก๊าซเรือนกระจกที่กำหนดไว้สำหรับปี 2030 หรือไม่ ปรากฏว่ากาตาร์ครองอันดับแชมป์ยอดแย่ ส่วนประเทศที่มีดีกรีดัชนีความยั่งยืนสูงสุด ได้แก่ บุรุนดี ตามด้วยชาด และโซมาเลีย ซึ่งทั้งหมดอยู่ในทวีปแอฟริกา
จะสังเกตได้ว่า ประเทศที่ร่ำรวย = ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาก ดังนั้นจึงมีอัตราความยั่งยืนต่ำ ในขณะที่ประเทศที่มีรายได้ปานกลางจนถึงต่ำอย่างในแอฟริกาและเอเชีย มักมีความยั่งยืนสูง แต่ความเจริญรุ่งโรจน์ของเด็กต่ำ แปรผกผันกันเช่นนี้
ในขณะที่ก็มีอีกหลายประเทศที่มีความสามารถกลางๆ ในการควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีพอควร และมีสุขภาวะที่พอใช้ได้สำหรับการเติบโตของเด็ก ได้แก่ แอลเบเนีย อาร์เมเนีย จอร์แดน ศรีลังกา อุรุกวัย และเวียดนาม
แต่กลับไม่มีประเทศใดเลยที่มีทั้งสุขภาวะที่เหมาะสม และสภาพแวดล้อมที่ดีพอให้เยาวชนได้เติบโตอย่างมีอนาคตที่สดใส
![green curriculum](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/08/body-green3.jpg)
ปัญหานี้เด็กๆ ในหลายประเทศทั่วโลกเริ่มตระหนักและออกมาเรียกร้องกันมากขึ้น เห็นได้จากการออกมารณรงค์เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลและองค์กรต่างๆ จัดการปัญหาสภาพภูมิอากาศโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยปฏิเสธไม่ได้ว่า เกรตา ธันเบิร์ก เด็กสาวนักรณรงค์แก้ปัญหาโลกร้อนเป็นผู้จุดประกายคนสำคัญ
และไม่ใช่แค่เยาวชนเท่านั้นที่ต้องออกโรง แต่ยังมีผู้ใหญ่หัวคิดก้าวหน้าอีกไม่น้อยที่เป็นกองหนุนในการปฏิรูปการศึกษา โดยบรรจุให้หลักสูตรสภาพภูมิอากาศโลกและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นวิชาหลักที่ต้องเรียนรู้กันตั้งแต่วัยเตรียมอนุบาล
Earth Warriors
หลักสูตรฝึกนักรบตัวจิ๋วให้ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อความยั่งยืน
![green curriculum](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/08/body-green6.jpg)
ชเวตา บาห์รี (Shweta Bahri) ผู้ชำนาญการด้านนโยบายการศึกษาและความยั่งยืน และ เคยา แลมบา (Keya Lamba) ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน คือสองสาวที่ไม่ปล่อยผ่านรายงานขององค์การอนามัยโลกฉบับนี้ไปเฉยๆ
และอันที่จริงทั้งคู่เริ่มพัฒนาหลักสูตร Earth Warriors มาตั้งแต่ปี 2019 แล้ว โดยบาห์รีเล่าถึงความตั้งใจไว้ว่า “เด็กในทุกวันนี้กำลังเติบโตขึ้นในโลกที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป จึงเป็นความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการปลูกฝังการเรียนรู้เรื่องสภาพภูมิอากาศโลกแก่เด็กๆ ซึ่งจะเป็นหนทางในการปรับพฤติกรรมที่เห็นผลที่สุดในการต่อกรกับสภาวะโลกร้อน”
แต่ครั้นจะเรียกหลักสูตรก็ออกจะเคร่งเครียดเกินไป เพราะการปลูกฝังเยาวชนให้เป็น ‘นักรบกู้โลก’ เน้นการเล่นและทำกิจกรรมเพื่อเสริมการเรียนรู้มากกว่า
![green curriculum](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/08/body-green5.jpg)
หลักสูตร Earth Warriors ใช้งานง่ายและปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม โดยจำแนกแต่ละโมดูลการเรียนตามอายุ ใช้เวลาเรียนแต่ละโมดูลประมาณ 5 สัปดาห์ และสามารถใช้ได้ทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน เหมาะสำหรับเด็กวัย 3-7 ปี โดยหัวข้อการเรียนรู้จะเน้นหนักในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกและการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน โดยหลอมรวมการเรียนรู้ผ่านการเล่นและการฝึกคิดแก้ปัญหาเข้าด้วยกัน
ที่สะดวกไปกว่านั้นคือ อุปกรณ์ในการเรียนรู้สามารถหาได้เองภายในโรงเรียน ในบ้าน และจากธรรมชาติรอบตัว
![green curriculum](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/08/body-green4.jpg)
หลักสูตรนี้เน้นให้ครูหรือผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการเรียนรู้กับเด็กๆ เพื่อให้เกิดความใกล้ชิดจากการใช้เวลากึ่งเรียนกึ่งเล่นไปด้วยกัน โดยเมื่อเด็กๆ สำเร็จหลักสูตรแต่ละบท จะได้รับเหรียญตรา อารมณ์คล้ายอัศวินที่ได้รับการประดับยศเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปเรื่อยๆ
การส่งเสริมให้เด็กสนุกกับการเรียนรู้ในแบบที่ไม่บังคับให้นั่งเรียนหรือท่องจำ จะทำให้เขารู้สึก ‘อิน’ กับสิ่งใหม่ที่เพิ่งได้เรียนรู้ นำไปสู่การต่อยอดเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ เมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในโลกที่ย่อมมีหน้าตาเปลี่ยนไปจากศตวรรษเดิม
เหมือนอย่างที่จู่ๆ บิลลี่ วัย 5 ขวบ หนึ่งในสมาชิก Earth Warriors บอกกับแม่ของเขาในเช้าวันหนึ่งว่า
“เราต้องหยุดคนที่กำลังตัดไม้ทำลายป่า ไม่อย่างนั้นหมีขั้วโลกกับเพนกวินจะหล่นลงไปในน้ำ เพราะต้นไม้ช่วยให้น้ำแข็ง ซึ่งเป็นบ้านของพวกมันไม่ละลาย”
![green curriculum](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/08/body-green2.jpg)
Green School
โรงเรียนไม้ไผ่ที่ไม่สอนให้ท่องจำ แต่ชวนให้เด็กๆ ลงมือทำ
Green School ตั้งอยู่ท่ามกลางแม่น้ำและป่าเขาบนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เปิดสอนมาตั้งแต่ปี 2008 ก่อตั้งโดย จอห์น และ ซินเธีย ฮาร์ดี (John and Cynthia Hardy) สามีภรรยาชาวแคนาดาอดีตเจ้าของธุรกิจจิวเวลรี ที่อยากเห็นการศึกษาพัฒนาไปในรูปแบบใหม่ ไม่ได้สอนแค่วิชาสามัญอย่างคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษา หรือศิลปะ แต่ควรสอดแทรกกิจกรรมเสริมเกี่ยวกับธรรมชาติศึกษา และแบบแผนในการเรียนรู้ชีวิตจริงๆ เข้าไปในหลักสูตรด้วย
![green curriculum](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/08/body-green7.jpg)
และในเมื่อหลักสูตรการเรียนรู้มุ่งทำความเข้าใจธรรมชาติ บรรยากาศของโรงเรียนสีเขียวจึงต้องเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งแวดล้อมโดยรอบ ทำให้ทั้งอาคารเรียน โต๊ะ และเก้าอี้ล้วนทำจากวัสดุท้องถิ่นอย่างไม้ไผ่ ไม่ติดเครื่องปรับอากาศ และไร้กำแพงหรือฝาผนังห้องเรียน อาศัยความเย็นจากลมธรรมชาติเท่านั้นเป็นตัวช่วยให้เด็กๆ ได้รู้จักคุณค่าของสายลมแบบสัมผัสได้
![green curriculum](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/08/body-green8.jpg)
ด้วยความที่ภายในบริเวณโรงเรียนมีแม่น้ำไหลผ่าน นักเรียนจึงได้เรียนรู้การทำการเกษตรและการทำอาหารโดยใช้ผลผลิตที่เพาะปลูกได้ภายในโรงเรียน โดยอาหารแต่ละมื้อจะไม่มีเนื้อสัตว์ มีแต่ผัก ผลไม้ และข้าวเป็นส่วนประกอบหลัก และใช้ใบกล้วยแทนจานข้าวอย่างกลมลกลืน ส่วนน้ำมันที่เหลือจากการปรุงอาหารยังนำไปแปรรูปเป็นเพลิงสำหรับขับเคลื่อนรถ BioBus ที่ใช้เดินทางอีกด้วย
![green curriculum](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/08/body-green9.jpg)
ปัจจุบัน Green School เปิดสอนตั้งแต่ระดับเตรียมอนุบาลถึงชั้นมัธยมปลาย เน้นหลักสูตรการเรียนการสอนที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เช่น มีห้องไม้สำหรับให้นักเรียนประดิษฐ์สิ่งของ มีเครื่องพิมพ์สามมิติและเครื่องเลเซอร์เพื่อให้นักเรียนสร้างโมเดลจำลอง ฯลฯ
ขณะเดียวกันก็ปลูกฝังแนวคิดด้านการอนุรักษ์ไปในตัว โดยเด็กทุกคนต้องเข้าร่วมกิจกรรมด้านสังคมตามความสนใจ เช่น เด็กชั้นโตไปช่วยสอนในชั้นเรียนเด็กเล็ก หรือเป็นอาสาสมัครในชุมชน ฯลฯ เพื่อให้พวกเขาเรียนรู้จากการลงมือทำอย่างแท้จริง
![green curriculum](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/08/body-green10.jpg)
Green School ได้รับการยอมรับจาก World Economic Forum ให้เป็นโรงเรียนที่มีความก้าวหน้าในการเป็นโรงเรียนต้นแบบที่สร้างหลักสูตรการเรียนการสอนด้านความยั่งยืนและสร้างผู้นำทางด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในอนาคต โดยนอกจากบาหลีแล้ว ปัจจุบัน Green School ยังได้ขยายสาขาไปเปิดสอนที่ประเทศนิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ และเร็วๆ นี้ที่เม็กซิโก
Sustainable Play Preschool
โรงเรียนวีแกน 100% สำหรับเด็กก่อนวัยเรียน
เหคุผลที่การจัดอันดับความยั่งยืนต้องนำปัจจัยด้านการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศมาเป็นเกณฑ์หลักในการวัด สืบเนื่องมาจากเป้าหมายที่ข้อตกลงการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ระหว่างประเทศสมาชิกสหประชาชาติ (UN) เคยตั้งไว้เมื่อปี 2015 คือ ต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จาก 39.7 พันล้านตัน ให้เหลือ 22.8 พันล้านตัน ภายในปี 2030 เพื่อให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
![green curriculum](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/08/body-green11.jpg)
และหนึ่งในต้นตอการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาลก็เกิดจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์นั่นเอง
ดังนั้น เหตุผลที่ Green School ไม่ปรุงอาหารจากเนื้อสัตว์ให้เด็กรับประทาน คงเหมือนกับ Sustainable Play Preschool แห่งเมืองนิวคาสเซิล ประเทศออสเตรเลีย ที่ปวารณาตนเป็นโรงเรียนวีแกน 100% แห่งแรกในออสเตรเลีย
![green curriculum](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/08/body-green12.jpg)
คอนเซ็ปต์ของโรงเรียนวีแกนแห่งนี้ ที่เปิดรับสมัครเด็กอายุระหว่าง 3-5 ปี คือการมุ่งปลูกฝังแนวคิดในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติโดยไม่เบียดเบียนสัตว์เป็นสำคัญ
กิจกรรมที่โรงเรียนจะสนับสนุนให้เด็กๆ ได้ลงมือทำ จึงเป็นการเรียนรู้ที่จะปลูกผักและผลไม้ แล้วนำผลผลิตที่ได้ไปปรุงเป็นอาหารที่ใช้บริโภคภายในโรงเรียน รวมถึงเรียนรู้การกำจัดขยะจากเศษอาหาร เพื่อเรียนรู้กระบวนการบริโภคอย่างยั่งยืนแบบครบวงจร
![green curriculum](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/08/body-green13.jpg)
นอกจากนี้ ทางโรงเรียนยังจัดกิจกรรมพาเด็กๆ ไปเยี่ยมชมฟาร์มท้องถิ่น และทัศนศึกษายังอุทยานแห่งชาติต่างๆ เพื่อเรียนรู้มิติทางด้านสิ่งแวดล้อมให้หลากหลายยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าในเมื่อเป็นโรงเรียนวีแกน อาหารเช้าและอาหารกลางวันของที่นี่ย่อมเป็นอาหารวีแกน ที่ออกแบบมื้ออาหารโดยนักโภชนาการ ที่การันตีความปลอดภัยเพราะใช้วัตถุดิบที่ปลูกเองในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นเมนูน้ำผักและผลไม้ปั่น แมคแอนด์ชีสทำจากเต้าหู้ แซนด์วิชทูน่าที่ทำจากถั่วลูกไก่ มัฟฟินแครอทและซุคกินี ไปจนถึงไอศกรีมวีแกนแสนอร่อยที่ทำมาจากเนื้อกล้วย
![green curriculum](https://becommon.co/wp-content/uploads/2021/08/body-green14.jpg)
อาหารไร้เนื้อสัตว์ที่เด็กๆ คุ้นเคยตั้งแต่วัยเยาว์ย่อมทำให้พวกเขารู้จักเลือกบริโภคมื้อที่ดีต่อสุขภาพและดีต่อโลกอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
อ้างอิง
- Tanuvi Joe. New Sustainability Curriculum Turns Children Into Earth Warriors. https://bit.ly/3AOpciK
- Tanuvi Joe. Australia To Open Its First-Ever Vegan Preschool With Plant-Based Offerings For Kids, From Syllabus to Food. https://bit.ly/3ml5Yxr
- Chung Ying Li. Sustainable learning at Green School Bali. https://bit.ly/3mi58kN
- The Lancet Commissions. A Future for the world’s children? A WHO – UNICEF – Lancet Commission. https://bit.ly/2XyE5ay