ก่อนจะเริ่มต้นอ่านบทความนี้ ในฐานะผู้เรียบเรียง เพื่อความยุติธรรม ผมมีเรื่องที่ต้องบอกผู้อ่านสักสองสามเรื่อง
หนึ่ง บทความนี้เป็นบทความขนาดยาว (มาก) ที่ถอดความจากปาฐกถาพิเศษ ดีไซน์ใหม่ประเทศไทย เพื่อไปสู่อนาคต (Thailand’s GRAND DESIGN : Architecture for the Future) โดย ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา นักคิด นักเขียน บรรณาธิการสำนักพิมพ์ openbooks เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2561
สอง หากผู้อ่านคาดหวังจะพบคำตอบสำเร็จรูปเกี่ยวกับ ‘อนาคต’ ต้องบอกก่อนว่าปาฐกถาบทนี้ไม่มีให้ แต่ว่าคุณจะได้พบกับ ‘คำถามใหม่’ ซึ่งล้วนเป็นคำถามใหญ่ของโลก ของไทย ที่ผุดขึ้นมาระหว่างเรื่องเล่าที่พูดถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลในการสร้างเมืองสร้างประเทศของจีน เทียบเคียงกับเมืองใหญ่หลายต่อหลายเมือง รวมถึงประเทศไทย ผ่านมิติทางประวัติศาสตร์ เทคโนโลยี และการออกแบบในหลายมิติ
สาม ถึงแม้เนื้อหาปาฐกถาจะพูดถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอกเป็นส่วนใหญ่ แต่ท้ายที่สุดความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจะกระทบกลับมาที่ใจ ว่าถึงที่สุดแล้ว “เราจะดีไซน์อนาคตของตัวเองอย่างไร”
“อย่างไร?” หรือ “How?” เป็นคำถามสั้นๆ ที่ต้องตอบกันยาว และบางทีกว่าจะได้คำตอบนั้น เราอาจต้องขบคิดกับมันไปอีกหลายวัน หลายเดือน หลายปี หรืออาจจะทั้งชีวิต
และเมื่อต้องใช้เวลาขบคิดนานขนาดนี้ ก็ถือเป็นโอกาสอันดี ถ้าผู้อ่านจะใช้เวลาอ่านปาฐกถาขนาดยาวบทนี้ ที่ดูเหมือนจะเป็นวิกฤตในยุค ‘ยาวไปไม่อ่าน’ ให้เป็นโอกาสในการขบคิดเพื่อเตรียมตัว เตรียมใจ และเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในอนาคตอันใกล้
ซึ่งเป็นวิกฤตในโลกยุคใหม่ ที่แม้แต่พระเจ้าก็ไม่อาจคาดเดา…
เราจะออกแบบที่สำคัญที่สุด คือการออกแบบอนาคตของประเทศที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เห็นหัวใจของผู้คน แบ่งปันจัดสรรรายได้ให้คนอยู่อาศัยในประเทศนี้แล้วมันมีความสุข มันมีโอกาส แล้วมันเห็นอนาคตเบื้องหน้าได้อย่างไร
– 1 –
ท่านคณบดี ท่านคณาจารย์ผู้ทรงเกียรติ และนักศึกษาทุกๆ ท่านที่กำลังจะเติบโตไปเป็นสถาปนิกของประเทศไทย ผมอยากจะเริ่มต้นอย่างนี้ครับ
ก่อนที่จะเดินทางมาสนทนากับท่านในวันนี้ ผมเดินทางไปประเทศจีน ใช้เวลาอยู่ประมาณสี่ห้าวัน แล้วก็ข้ามมาฮ่องกง ก่อนจะกลับมาที่เมืองไทยได้ไม่กี่วันนี้แหละครับ
ผมไปประเทศจีนคราวนี้เพื่อไปดูเมืองใหม่ที่สุดเมืองหนึ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เมืองนี้อยู่ริมทะเล เกิดจากการงอกตัวของแผ่นดิน มีชื่อว่า ฉือซี (慈溪) อยู่ในมณฑลเจ้อเจียง (浙江省) เจ้อเจียงเป็นมณฑลใหญ่ของจีนเพราะเป็นที่ตั้งของ หางโจว (杭州)
หางโจวสำคัญอย่างไร? หางโจวเป็นบ้านเกิดของแจ็ค หม่า แจ็ค หม่าบอกมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกคือวิทยาลัยครูหางโจว ทำไมดี? เพราะว่าแจ็คหม่าจบมาจากมหาวิทยาลัยนี้ (ผู้ฟังหัวเราะ) แจ็ค หม่าประกาศมาตลอดว่าที่นี่ดีที่สุดในโลก ไม่มีที่ไหนดีเท่านี้อีกแล้ว ฉะนั้นพออาลีบาบาหรือแจ็ค หม่าไปเริ่มสตาร์ทอัพที่หางโจว หางโจวเลยกลายเป็นเมืองที่พัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ใกล้ๆ หางโจวมีเมืองคู่แฝดชื่อว่า ซูโจว (苏州) หลายๆ ท่านที่เรียนสถาปัตยกรรมคงรู้ประวัติศาสตร์เมืองซูโจว ซูโจวเป็นต้นกำเนิดของสวนที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของจีน หรืออาจจะเรียกว่าสวยที่สุดในโลก เป็นต้นธารของการทำสวนในญี่ปุ่น ถ้าเดินในซูโจวจะเห็นอารยธรรมของการทำสวน สมัยก่อนตอนปัญญาชนเบื่อหน่ายบ้านเมือง นายกฯ ที่ไม่ค่อยเอาไหน รัฐบาลที่ไม่ค่อยเอาไหน จีนนะครับที่พูดหมายถึงจีน (ผู้ฟังหัวเราะ) ปัญญาชนก็ไม่รู้จะอยู่ในเมืองหลวงรับราชการกันไปทำไม ปัญญาชนในยุคนั้นก็เลยปลีกวิเวก แล้วก็ไปสร้างบ้านหลังเล็กๆ อยู่กันโดยสงบกับธรรมชาติ บ้านที่สร้างอยู่ริมน้ำอยู่ในสวน บ้านนั่นแหละครับคือที่ที่ให้กำเนิดอารยธรรมสวนของเมืองซูโจว และในที่สุดก็กลายเป็นวัฒนธรรมสวนญี่ปุ่น เกิดจากปัญญาชนจีนปลีกวิเวกและอยากจะแสวงหาความสุข ว่าความสุขที่เรียบง่ายที่สุดในการใช้ชีวิตคืออะไร
มันมีภาษิตจีนหรือคำคมจีนบอกว่า “上有天堂, 下有苏杭” บนสวรรค์บนท้องฟ้าหรือว่าเบื้องบนมีสรวงสวรรค์ แต่เบื้องล่างมี ซูหัง (苏杭) ซูหังหมายถึงซูโจวและหางโจว นั่นเป็นการบอกว่าซูโจวและหางโจวสวยงามอย่างไร นี่คือความสำคัญในอดีตของซูโจวและหางโจว แต่เมื่อแจ็ค หม่าไปสร้างธุรกิจขึ้นมาใหม่ อารยธรรมที่ลึกที่สุดย้อนกลับไปที่ซูโจวหางโจว นั่นคือในอดีตเป็นเส้นทางการค้าสำคัญ มีคลองใหญ่ที่เชื่อมไปถึงปักกิ่ง เป็นเส้นทางการลำเลียงสินค้าและติดต่อกัน ทุกวันนี้คลองยังอยู่ แต่ในปัจจุบันการค้าของโลกมันเปลี่ยน หลังจากเกิดอาลีบาบาขึ้นมา หางโจวกลายเป็นเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจของจีน ผมนั่งส่องแผนที่ซูโจว หางโจว และมี เซี่ยงไฮ้ (上海) อยู่ทางขวามือด้านบน เป็นสามเหลี่ยมเศรษฐกิจขนาดใหญ่ปากแม่น้ำแยงซีเกียง แล้วด้านล่างมีเมืองสำคัญอีกเมืองหนึ่งชื่อว่า หนิงปัว (宁波)
แต่ที่ผมจะเล่าให้ฟังไม่ได้เล่าเรื่องเมืองใหญ่เหล่านี้ แต่จะเล่าเรื่องการงอกตัวของแผ่นดินใหม่ของเมืองที่ชื่อว่าฉือซี
– 2 –
เมืองใหม่ฉือซีอยู่ปากแม่น้ำ คนเมืองฉือซีบอกเมืองแห่งนี้ไม่มีประวัติศาสตร์ ถามว่าทำไมไม่มีประวัติศาสตร์ เพราะ 500 ปีที่แล้วมันยังไม่มีแผ่นดิน ขุดไปก็ไม่เจออะไร เมื่อไม่มีแผ่นดิน มันจึงไม่มีผู้คนอยู่อาศัย เมื่อไม่มีผู้คนอยู่อาศัย เมืองแห่งนี้จึงไม่มีประวัติศาสตร์
ถามว่าเมืองใหม่ฉือซีเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ฉือซีเกิดจากการตกตะกอนของดินตะกอนแม่น้ำ ปีละเท่ากับ 1 ความหนาของเหรียญอีแปะ ฉะนั้นผ่านมา 500 ปี เอาเหรียญอีแปะมาวางต่อกัน 500 เหรียญ เท่ากับความหนาของแผ่นดินฉือซี คนจีนในสมัยใหม่ก็ไปกั้นเขื่อน แล้วให้ดินตกตะกอนๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อยู่ดีๆ เมืองฉือซีก็ได้แผ่นดินงอกขึ้นมาหลายหมื่นไร่ เอาง่ายๆ สั้นๆ ขณะนี้มี 16,000 ไร่ที่รอการพัฒนาอยู่ที่ฉือซี หนิงปัว ปากแม่น้ำแยงซีเกียง และนี่กำลังจะเป็นเมืองที่ใหม่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศจีน
ปัญญาเกิดขึ้นต่อเมื่อได้ถกกับคนที่คิดไม่เหมือนเรา คิดต่างจากเรา คิดไปคนละข้าง คิดไปด้านบน คิดไปด้านล่าง คิดไปกลับ ทบทวนไปมา ปัญญาเกิด
ถามว่าเมื่อจะสร้างแผ่นดินใหม่ จะสร้างเมืองใหม่ รัฐบาลท้องถิ่นของจีนนี่ดีนะครับ มีอำนาจในการที่จะตัดสินใจวางอนาคตของเมืองตัวเอง ของท้องถิ่นตัวเอง ของประเทศชาติในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบได้ เพื่อสร้างอนาคตของประชาชน สร้างอนาคตของคนที่อยู่ในเมืองแห่งนี้ รัฐบาลท้องถิ่นดีไซน์ด้วยการสะสมภาษีสะสมความมั่งคั่งจากการเติบใหญ่ของธุรกิจในมณฑลเจ้อเจียง ในหางโจว ในหลายต่อหลายท้องที่ เมื่อมีเงินมากพอแล้วรัฐบาลท้องถิ่นต้องคิดว่า จะเอาความมั่งคั่งที่เกิดจากการค้าการลงทุน และการเติบโตทางเศรษฐกิจในรอบหลายปีที่ผ่านมา จะใช้เงินก้อนนี้สร้างอนาคตอย่างไร ให้เกิดประโยชน์กับลูกหลานรุ่นต่อไปของมณฑลแห่งนี้ หรือถ้าพูดในวงกว้าง จะให้เกิดประโยชน์กับประชาชนในสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างไร
ผืนดินรกร้างว่างเปล่าเป็นหมื่นไร่ให้เอกชนไปลงทุน ไม่มีใครลงทุนหรอกครับ มันไม่มีประวัติศาสตร์ ไม่มีวัดวาอาราม ไม่มีร้านค้า ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีบ้านเรือนผู้คน ไม่มีแม้กระทั่งร้านกาแฟสตาร์บัคส์ แล้วจะกินอะไรกัน ทำไม่ได้ รอเวลาให้เกิดยังไงก็ไม่เกิด สิ่งที่รัฐบาลจีนทำก็คือตัดสินใจลงทุนด้านสาธารณูปโภคทั้งหมด ถนนหนทาง เส้นทางท่าเรือทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่แพงที่สุดของการทำความเจริญให้เกิดขึ้นบนแผ่นดิน เพื่อเอกชนจะได้ไม่ต้องรับภาระในการลงทุน และที่ล้ำที่สุด รัฐบาลจีนประกาศว่าจะใช้เวลา 3 ปีสร้างรถไฟความเร็วสูงให้เสร็จ จากเซี่ยงไฮ้มาฉือซีใช้เวลาเดินทาง 25 นาที จากแผ่นดินรกร้างว่างเปล่า ถ้ามีรถไฟความเร็วสูงวิ่งมาใช้เวลา 25 นาที มูลค่าที่ดินจะขึ้นขนาดไหน?
เราจำเป็นต้องอยู่อาศัย รถติดๆ มลพิษสูงๆ ในเซี่ยงไฮ้ต่อไปหรือไม่ ไม่จำเป็น จากบ้านผมมาหอศิลป์ (หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร) ใช้เวลานานกว่าจากฉือซีไปเซี่ยงไฮ้ เชื่อไหมฮะ เมื่อเช้าโดนไปหนึ่งชั่วโมง บ้านผมอยู่ซอยศูนย์วิจัย ใกล๊ใกล้… รอสามปีคงไม่มีหรอกครับไอ้รถไฟฟ้าหรือรถไฟความเร็วสูง ฉะนั้นสปีดของการพัฒนาในโลกสมัยใหม่ มันไม่ใช่สปีดของรถไฟความเร็วสูงเท่านั้น ไม่ใช่สปีดความเร็วของอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ไม่ใช่สปีดของการประมวลผลบนมือถือรุ่นใหม่ล่าสุดของเราเท่านั้น แต่สปีดที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เราอาจจะลืมไป คือ ‘สปีดของเวลาในการใช้พัฒนาบ้านเมือง’ ให้เกิดขึ้น
ถ้าเราไม่มีปัจจัยพื้นฐาน ถ้าความเร็วอินเทอร์เน็ตเรายังต่ำอยู่ เราติดต่อสื่อสารกันได้ล่าช้า เราไม่สามารถส่งภาพขนาดใหญ่ภาพเคลื่อนไหวอย่างยุค 4G 5G ให้เกิดขึ้นได้ แน่นอนการสื่อสารหายไป ถ้าสื่อสารเกิดขึ้นได้จริง แต่เราไม่สามารถนำคนให้กลับมาพบเจอกันได้ ต่างคนต่างอยู่คนละที่ อยู่ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ขออภัยไปไม่ไหวจริงๆ คนไม่ได้เจอกันจะเอาปัญญาที่ไหนมาแลกเปลี่ยนบทสนทนากัน คุณเคยเกิดพุทธิปัญญาจากการคุยไลน์เหรอฮะ เคยมีเพื่อนเพิ่มในรอบหลายปีจากการโพสต์เฟซบุ๊กเหรอฮะ ส่วนใหญ่จะเพิ่มศัตรูนะ เพราะอันเฟรนด์กันไปเยอะ คอมเมนท์นี่บ้านแตกสาแหรกขาดกันไปเยอะนะฮะในเฟซบุ๊ก
ถ้าไม่เดินทาง การค้าไม่เกิด ปัญญาไม่เกิด การแลกเปลี่ยนการสนทนาไม่เกิด ในขณะที่ค่ารถไฟใต้ดินของจีนถูกมาก ค่ารถไฟความเร็วสูงก็ยังไม่แพง ในญี่ปุ่นค่ารถไฟใต้ดินยังไม่แพง ในเมืองไทยค่ารถไฟฟ้าเริ่มแพงมากขึ้นๆ แล้วคนใช้บริการมากขึ้น รถใต้ดินแพงมากขึ้น ต่อให้คุณอยู่เส้นติดรถไฟฟ้า คอนโดเริ่มต้น 3 ล้านบาท แต่คุณโดนค่ารถไฟฟ้าไปเรื่อยๆ ในที่สุดคุณจะเหลือทรัพยากรในการสร้างปัญญาต่ำมาก หุ้นรถไฟฟ้าจะดีขึ้นนะ แต่หุ้นพวกเราจะตกลง
การมีเพื่อนเพิ่ม การมีปัญญาเพิ่ม คือการนำคนมาพบปะสนทนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายและไม่เหมือนกัน ปัญญาเกิดขึ้นต่อเมื่อได้ถกกับคนที่คิดไม่เหมือนเรา คิดต่างจากเรา คิดไปคนละข้าง คิดไปด้านบน คิดไปด้านล่าง คิดไปกลับ ทบทวนไปมา ปัญญาเกิด นั่งคุยกับคณาจารย์ไม่กี่คำเมื่อกี้ก็เริ่มรู้สึกว่ามีเรื่องใหม่ๆ เกิดขึ้นมาให้เราคิดต่อ แต่ถ้าการเดินทางมันล่าช้า การเดินทางต้นทุนมันสูงมันแพง คนไปมาหาสู่กันไม่ได้ แล้วจะพบปะสังสรรค์สนทนาสร้างปัญญาได้อย่างไร
ผมไปลอนดอนรอบล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว ค่ารถไฟใต้ดินแพงมาก คนที่เรียนหนังสือจบมาใหม่ๆ จะนั่งรถไฟใต้ดินไปหาเพื่อนไปคุยแล้วนั่งกลับ ผมว่าไม่มีปัญญา ล่มจมแน่นอน สาธารณูปโภคของรัฐบาลในเมืองหลวงขนาดใหญ่ของโลกไม่ได้เอื้อต่อการเดินทางของคน เพื่อให้เด็กรุ่นใหม่ไปสนทนากัน หรือออกไปเห็นโลก ถ้าค่ารถไฟใต้ดินแพงขนาดนั้น ผมเปิดเน็ตนั่งอยู่กับบ้านดีกว่า แต่ถ้าไม่เดินทาง การค้าไม่เกิด ปัญญาไม่เกิด การแลกเปลี่ยนการสนทนาไม่เกิด ในขณะที่ค่ารถไฟใต้ดินของจีนถูกมาก ค่ารถไฟความเร็วสูงก็ยังไม่แพง ในญี่ปุ่นค่ารถไฟใต้ดินยังไม่แพง ในเมืองไทยค่ารถไฟฟ้าเริ่มแพงมากขึ้นๆ แล้วคนใช้บริการมากขึ้น รถใต้ดินแพงมากขึ้น ต่อให้คุณอยู่เส้นติดรถไฟฟ้า คอนโดเริ่มต้น 3 ล้านบาท แต่คุณโดนค่ารถไฟฟ้าไปเรื่อยๆ ในที่สุดคุณจะเหลือทรัพยากรในการสร้างปัญญาต่ำมาก หุ้นรถไฟฟ้าจะดีขึ้นนะ แต่หุ้นพวกเราจะตกลง
นี่คือดีไซน์เบื้องต้นที่รัฐบาลกลางหรือรัฐบาลท้องถิ่นต้องคิดว่าจะสร้างเมืองและสร้างอนาคตให้ “ประชาชน” ซึ่งคือหัวใจสำคัญสูงสุดของประเทศได้อย่างไร
– 3 –
รัฐบาลจีนบอกว่าลงทุนสาธารณูปโภคให้ แล้วให้เอกชนเช่าที่ระยะยาว 99 ปีก็เช่ากันไป เพราะที่ดินมีเหลือเฟือ กลับไปเหมือนสมัยบูรพกาล ที่ดินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการผลิตอีกต่อไป ที่ดินมีเยอะฮะ งอกมาปีละเป็นหมื่นไร่ ในไซบีเรียนี่เหลืออีกเป็นแสนเป็นล้านไร่ เต็มไปหมดฮะ ในยุค 4.0 จะกลับไปคล้ายยุค 1.0 คือที่ดินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดในการผลิตอีกต่อไป หัวใจสำคัญสูงสุดของยุค 4.0 คือ “คน” ทำอย่างไรจะเอาคนที่เก่งที่สุดในโลก คนที่เก่งที่สุดในประเทศมาทำงาน ณ จุดจุดนั้น และสร้างโอกาสให้กับเศรษฐกิจ ให้กับสังคม และเปลี่ยนแปลงประเทศ ถ้าเราไม่สร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานเอาไว้ ไฉนเลยคนเก่งที่มีทางเลือกจะเดินเข้าไปอยู่จุดนั้น จะเข้าไปพักอาศัย ทำงาน สร้างตัวตน สร้างอนาคต สร้างชีวิตในเมืองนั้น มันมีเหตุและปัจจัยอะไรที่ทำให้คนเก่งมาอยู่ในที่ที่เราต้องการให้อยู่ คนเก่งที่สุดมีทางเลือกเสมอ และที่ที่ดีที่สุดจะเป็นที่ที่คนเก่งที่สุดเลือกเสมอ
หัวใจสำคัญสูงสุดของยุค 4.0 คือ “คน”
สิ่งที่ซิลิคอนแวลลีย์ทำคืออะไร ไม่ได้ให้เงินเดือนสูงสุดอย่างเดียวนะฮะ แต่สร้างโรงเรียนที่ดีที่สุดเพื่อให้พวกอัจฉริยะทั้งหลายได้ส่งลูกไปโรงเรียนที่ดีที่สุด เมื่อคุณมีลูก คุณก็อยากให้ลูกเรียนโรงเรียนใกล้บ้านที่ดีที่สุด วิธีเดียวที่จะเอาคนเก่งมาได้คือสร้างโรงเรียนเพื่อให้เขาเอาลูกเข้าเรียนได้ แล้วเขาก็ไปทำงาน ฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลจีนทำสำเร็จหรือล้มเหลวไม่ทราบ ถูกหรือผิดไม่ทราบ แต่มันเป็นการบอกว่ารัฐบาลจีนกำลังเริ่มคิดเรื่องดีไซน์ อย่างน้อยดีไซน์ต่ออนาคต รัฐบาลลงทุนสาธารณูปโภคให้ แล้วบอกเอกชนเข้ามาลงทุนในธุรกิจที่ดีที่สุด
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในเมืองใหม่อย่างฉือซีคืออะไร ธุรกิจการเกษตรแบบสมัยใหม่ใช้คนน้อย ต้นทุนต่ำ ผลผลิตต่อไร่สูง และขออภัยไม่ใช่เกษตรที่ใช้สารเคมีหรือว่าใช้ปุ๋ยจำนวนมากอีกต่อไป อย่าเข้าใจผิดว่าจีนล้าหลังนะครับ สิ่งที่ไปเห็นมาคือจะเป็นการปลูกเกษตรแบบออร์แกนิค เพราะคนยิ่งรวยคนยิ่งมีฐานะไม่มีใครอยากบริโภคสารพิษหรอกครับ ต้องรักษาหน้าดิน คุณภาพของดินไว้ให้ดีที่สุด เขาไม่ใช้ยาฆ่าแมลงในการกำจัดศัตรูพืชที่อยู่บนผืนดิน เขาใช้น้ำท่วมฮะ ให้น้ำท่วมฆ่าหญ้าฆ่าแมลง แล้วเมื่อเอาน้ำออกไปได้ดินอันอุดมมาโดยไม่มีสารเคมีตกค้างอยู่ในผืนดินเลย นี่แค่เซกเตอร์แรกของการเกษตร
ในอนาคตเบื้องหน้าชีวิตที่หรูหราหรือว่าลักชัวรี่ที่สุด คือชีวิตที่เรากลับลงไปอยู่กับผืนแผ่นดินได้ ไม่ใช่อยู่คอนโด 26 ตารางเมตร หรูแค่ไหนถ้าไม่มีแสงสว่าง ไม่มีดิน ไม่มีน้ำ ไม่มีอากาศ ไม่มีแสงแดด ไม่หรูจริงครับ
อุตสาหกรรมสมัยใหม่กำลังจะเข้าไปลงทุนในนั้น โรงเรียนที่ดี มหาวิทยาลัยที่ดีกำลังจะเกิด และจีนกำลังจะสร้างบ้านแบบสมัยใหม่ให้คนกลับไปใช้ชีวิตที่ติดดิน ในฮ่องกงในสิงคโปร์ในเซี่ยงไฮ้ไม่มีหรอกครับ ชีวิตที่จะติดดิน ในอนาคตเบื้องหน้าชีวิตที่หรูหราหรือว่าลักชัวรี่ที่สุดคือชีวิตที่เรากลับลงไปอยู่กับผืนแผ่นดินได้ ไม่ใช่อยู่คอนโด 26 ตารางเมตร หรูแค่ไหนถ้าไม่มีแสงสว่าง ไม่มีดิน ไม่มีน้ำ ไม่มีอากาศ ไม่มีแสงแดด ไม่หรูจริงครับ ฮวงจุ้ยภาษาจีนเรียกว่า “风水” คุณภาพชีวิตที่ดีต้องมีลมมีน้ำ “有风 有水” มีลมมีน้ำฮวงจุ้ยถึงจะดี ที่เหลือคือต้องมีคุณธรรมครับ
สูงสุดคือคุณธรรม รองลงมาคือธรรมชาติ ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ฮวงจุ้ยถึงจะดี แต่ทุกวันนี้เราเชื่อฮวงจุ้ยเพราะเชื่อซินเเส ซึ่งบ้านซินแสอาจจะฮวงจุ้ยไม่ดีก็ได้
– 4 –
ผมพูดเรื่องนี้เพื่อบอกว่าการที่จะสร้างอนาคตได้ มันต้องมีการออกเเบบที่ดีพอสมควร การที่เดินทางไปจีนเเล้วมองไปที่ฉือซี หนิงปัว มันเห็นเเผ่นดินราบเรียบที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเห็นอดีตของการเริ่ม อดีตของความพยายามในการก่อร่างสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ มันเห็นจากศูนย์ เห็นเเต่ต้นหญ้า เห็นเป็นพื้นดินรกร้างว่างเปล่า มองไปสุดสายตาจนจรดแผ่นน้ำคือทะเล นี่คือความพยายามที่จะสร้างประเทศขึ้นมาใหม่ สร้างเเผ่นดินขึ้นมาใหม่
ดูเเล้วคิดถึงเกาะฮ่องกง คิดถึงเกาะสิงคโปร์ หนึ่งร้อยปีเศษๆ ที่เเล้ว ฮ่องกงก็เป็นหมู่บ้านชายทะเล เป็นเมืองท่าธรรมดาเหมือนอย่างฉือซี ไม่มีอะไรมาก จับปลากันอยู่ริมทะเล โล้สำเภา ผู้คนมีอาชีพเป็นชาวประมง สิงคโปร์ก็เป็นเพียงเมืองท่า มีไข้มาลาเรียชุกชุมมาก เป็นป่าดงดิบ ฝรั่งไม่ค่อยอยากไปอยู่หรอกครับ จนเกิดปัญหาที่มะละกาแล้วเข้าไปที่สิงคโปร์ จึงไปยึดเป็นท่าเรือได้ที่นั่น นั่นคือหนึ่งร้อยปีก่อน ก่อนที่จะกลายมาเป็นเมืองท่าสำคัญที่สุดสองเมืองในเอเชีย และเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดในโลก เป็นศูนย์กลางทางการเงิน การค้า เเละพาณิชย์นาวี ทั้งฮ่องกงเเละสิงคโปร์ในอดีตใช้เวลา 100 ปีนะฮะ จีนให้อังกฤษเช่าเกาะฮ่องกงด้วยความจำใจ 99 ปี เพิ่งได้คืนมาในปี 1997 เติ้ง เสี่ยวผิง รออยู่เป็นเวลานานมากถึงจะได้เกาะคืนกลับมา ในอดีตเราใช้เวลา 100 ปีในการสร้างเมืองสร้างประเทศ คำถามคือปัจจุบันในยุคที่รถไฟความเร็วสูงสร้างเสร็จภายใน 3 ปี เราดูเน็ตฟลิกซ์ได้อย่างรวดเร็วโดยโหลดแทบไม่ถึง 1 นาที ดูซีรีย์ได้อย่างไม่จำกัด อินเตอร์เน็ตเราความเร็วสูงขึ้น รถยนต์กำลังจะไร้คนขับ การสร้างประเทศสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ มันใช้เวลาถึงหนึ่งร้อยปีหรือ?
มันไม่หรอกครับ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเมืองใหม่ อนาคตใหม่ เเละประเทศใหม่ มันจะใช้เวลาน้อยกว่าสิ่งที่เคยเป็นมาในอดีตอย่างมากมายเปรียบเทียบกันไม่ได้ มันมีกฎของมัวร์ (Moore’s Law) ว่าความเร็วชิปจะสูงขึ้นเท่าตัวในเวลา 2 ปี เดี๋ยวนี้กฎนี้ล้าหลังไปเเล้ว เพราะว่าความเร็วของชิปที่ใช้ในการประมวลผล มันเร็วขึ้นกว่าเดิมมากๆ ความสามารถของโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ มันเร็วขึ้นในอัตราเร่ง รถไฟความเร็วสูงเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งของความเร็วเเละพื้นที่ที่ให้บริการ ต่อไปถ้า ไฮเปอร์ลูป (Hyperloop) ของ อีลอน มัคส์ เสร็จ ก็จะเร็วกว่านั้นอีกหลายต่อหลายเท่า เราจะเชื่อมต่อกันได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น มากขึ้น เเละจนไปถึงจุดหนึ่งที่จะเชื่อมต่อกันได้อย่างสมบูรณ์เเบบ
สิบปีที่เเล้วถ้าผมคุยเรื่องเเบบนี้ให้ฟังในเวทีเเบบนี้ ก็คงบอกว่าผมเป็นนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ อาศัยอยู่ในโลกเเห่งความฝัน หากินด้วยการจิบน้ำค้างไปวันๆ ชมยอดหญ้าเเละคงจะไร้อนาคต วันนี้มาเล่าสิ่งที่เห็นล่าสุดให้ฟัง คนก็บอกว่า โห น่าตื่นตาตื่นใจ เเละอนาคตอันใกล้คงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เเจ็ค หม่าเพิ่งประกาศจะลงทุนประมาณแสนล้านเหรียญ เพื่อที่จะสร้างระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงสมบูรณ์เเบบที่สุดในโลก สินค้าหนึ่งชิ้นที่คุณสั่งในประเทศจีนผ่านบริการของอาลีบาบา แจ็ค หม่าให้คำมั่นไว้ในอนาคต ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในประเทศจีน สินค้าจะส่งให้คุณได้ภายใน 24 ชั่วโมง ผมจะทดสอบด้วยการไปสั่งปากกาหมึกซึมหนึ่งด้ามที่ทิเบต เเล้วดูซิว่าจากหางโจวจะทำได้จริงใน 24 ชั่วโมงไหม มันเป็นเรื่องท้าทายมาก ระบบโลจิสติกส์ของคุณต้องเข้มเเข็งมาก คุณถึงจะจัดส่งได้ทันเวลา ระบบหลังบ้านของคุณต้องดีมาก ฟูลฟิลเมนท์ เซ็นเตอร์ (Fulfillment Center) ของคุณต้องเก่งมาก เอไอของคุณต้องประมวลผลว่าไอ้ปากกาหมึกซึมที่ผมจะสั่งจากแจ็ค หม่า มันอยู่ที่ไหนบนชั้น ซึ่งมีประมาณ 1 ล้านไอเทม หุ่นยนต์ต้องวิ่งไปจับไอ้ปากกาแท่งนั้นให้ได้ ต้องเเพคใส่กล่องอย่างรวดเร็ว เเล้วเอาไปส่งสนามบินที่ใกล้ที่สุดหรือรถไฟความเร็วสูงที่ใกล้ที่สุด เเล้วต้องรู้ว่าผมอยู่ในทิเบต ผมอยู่จุดไหนเเละเอาไปให้ถึงผมให้ได้ภายในเวลา 24 ชั่วโมง
ที่มากกว่านั้น แจ๊ค หม่าบอกว่าต่อไปไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก อาลีบาบาจะส่งสินค้าให้คุณได้ภายในเวลาสามวัน ผมก็จะทดสอบสั่งปากกาหมึกซึมด้ามเดียวกันเเล้วไปอยู่ที่เกาะตะรุเตา เเล้วดูสิว่าจากอาลีบาบาส่งมาลงกรุงเทพฯ ลงไปปักษ์ใต้ เเล้วทะลุไปตะรุเตาจะจบได้ภายในเวลา 3 วันไหม สำเร็จหรือล้มเหลว ไม่ทราบ เเต่มนุษย์มีจินตนาการใหม่ที่จะคิดไปเบื้องหน้าเสมอ เเละเมื่อมีจินตนาการเหล่านั้น ก็ต้องมีวิธีการที่จะผลักดันหรือว่าออกเเบบเพื่อให้จินตนาการเหล่านั้นสำเร็จขึ้นมาได้
เเน่นอนคุยกันเเบบนี้มันง่าย มีสมุดเล่มเดียวก็มาเล่าให้ฟังได้ เเต่งานเบื้องหลังทั้งหมดของการออกแบบ การลงมือเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก เเละเป็นงานที่ต้องใช้สรรพวิทยาการ ใช้ศาสตร์ทุกศาสตร์ คอมพิวเตอร์ไซน์ (computer science) การเขียนโปรแกรม การทำโค้ด โลจิสติกส์ ไม่ต้องพูดหรอกครับ มีเป็นร้อยๆ ศาสตร์ในการจัดการเพื่อให้ปากกาหมึกซึมหนึ่งด้ามจากหางโจวไปส่งผมที่เกาะตะรุเตา หรือส่งผมอย่างน้อยที่ทิเบตภายในเวลา 1 วันหรือ 3 วัน นี่คือโลกอนาคตอันใกล้ ซึ่งในเวลาไม่นานจะเดินทางมาถึงเรา
– 5 –
สิบปีที่เเล้วถ้าผมคุยเรื่องเเบบนี้ให้ฟังในเวทีเเบบนี้ ก็คงบอกว่าผมเป็นนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ อาศัยอยู่ในโลกเเห่งความฝัน หากินด้วยการจิบน้ำค้างไปวันๆ ชมยอดหญ้าเเละคงจะไร้อนาคต วันนี้มาเล่าสิ่งที่เห็นล่าสุดให้ฟัง คนก็บอกว่า โห น่าตื่นตาตื่นใจ เเละอนาคตอันใกล้คงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ถ้าเราไม่ออกเเบบการวางอนาคตของประเทศให้ดี การวางอนาคตของคนหนุ่มสาวหรือคนในประเทศให้ดี โดยที่เราไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย เราก็จะกลายเป็นคนล้าหลัง
ถามว่าสิงคโปร์ใช้เวลากี่ปีในการสร้างจากพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ให้กลายเป็นประเทศที่กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงิน ศูนย์กลางพาณิชย์นาวี การเดินเรือ เเละล่าสุด (12 มิ.ย. 61) กลายเป็นที่เจรจาสันติภาพของโดนัลด์ ทรัมป์ กับคิม จองอึน สิงคโปร์ก่อร่างสร้างประเทศปี 1965 ท่านคณาจารย์ทั้งหลายกับผมรุ่นเดียวกัน เราเกิดประมาณปี 1970 สิงคโปร์เป็นพี่ชายเราแค่ 5 ปี สิงคโปร์อายุห้าสิบกว่าๆ เป็นคนที่กำลังมีวุฒิภาวะ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร มีประวัติศาสตร์เก่าเเก่ เเต่มีอนาคตอันสดใหม่รออยู่เสมอ
ถามว่าเมืองอย่างหางโจว ซูโจว เซี่ยงไฮ้ เเละเมืองใหม่อย่างฉือซี จำเป็นต้องใช้เวลาถึง 50 ปีเท่าสิงคโปร์ไหม จำเป็นต้องใช้เวลา 100 ปีเท่าเกาะฮ่องกงไหม อาจจะไม่จำเป็น การพัฒนาที่เกิดขึ้นอาจจะเร็วกว่านั้นในอัตราเร่ง ผมอยากออกกำลังกายทุกวัน ว่ายน้ำให้ร่างกายเเข็งเเรง เพื่ออีกสิบปีข้างหน้าจะไปดูในสิ่งที่อยากดู ว่าสิบปีข้างหน้าโลกในเเต่ละจุดจะพัฒนาไปขนาดไหน เมืองเเต่ละเมืองที่เราเพิ่งเห็นในวันนี้ จะพัฒนาขึ้นไปในทางที่ดีอย่างไร เมืองในอดีตที่เคยรุ่งเรื่องเฟื่องฟู จะถดถอยคล้อยหลังไปอย่างไร
เราอยู่ในโลกยุคที่มีการเปลี่ยนเเปลงอย่างมหาศาล ยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยน ผู้คนเปลี่ยน การเมืองเปลี่ยน ถ้าเราไม่ออกเเบบการวางอนาคตของประเทศให้ดี การวางอนาคตของคนหนุ่มสาวหรือคนในประเทศให้ดี โดยที่เราไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย เราก็จะกลายเป็นคนล้าหลัง
– 6 –
คำถามใหญ่ที่ตั้งเป็นประเด็นที่จะคุยกันในวันนี้คือ เเล้วตกลงประเทศไทยของเราซึ่งมีประวัติศาสตร์อันเก่าเเก่เเละยาวนาน มีความน่าภาคภูมิใจ มีสมบัติเจ้าคุณปู่อยู่เต็มไปหมดทั่วประเทศ มีความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรม สืบสานกันไปได้หลายพันปี วันนี้เรามีฉันทามติร่วมกันไหมว่า อนาคตที่เราจะเดินไปข้างหน้าร่วมกันคืออะไร เราได้มีการตกลงกันไหมว่าเราจะออกเเบบอนาคตเบื้องหน้าของประเทศไทยของเราอย่างไร
เราร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ เรากำลังบอกว่าจะมีการเลือกตั้ง แต่ รัฐธรรมนูญเราเหมือนเป็นกระบวนการล็อคล้อของรถยนต์ ไว้ทั้งหมด ด้านหนึ่งจะเลี้ยวซ้าย ด้านหนึ่งจะเลี้ยวขวา รัฐธรรมนูญเลยบอก “เอางี้ละกัน มึงไม่ต้องเลี้ยว กูล็อคไว้หมดเลยแล้วกัน” เเล้วก็ใส่เกียร์ แล้วบอกว่า “เราจะเดินหน้าประเทศไปเบื้องหน้า” เเต่ขออภัยกูล็อคล้อไว้ว่ะ
ผมไม่ได้พูดถึงระบอบการปกครองว่าจะต้องเป็นคอมมิวนิสต์เเบบจีนหรือเป็นประชาธิปไตยเเบบอเมริกา หรือว่ารูปเเบบการปกครองเเบบผสมผสาน หรือว่าจะเป็นเเบบสิงคโปร์ มันต้องมีข้อยุติในเบื้องต้นคร่าวๆ ว่าเราจะอยู่ภายใต้การปกครองเเบบไหน เอาล่ะครับจะผสมผสานยังไงก็ได้ ไม่มีคำตอบใดสำเร็จรูปเเละถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบใดคำตอบหนึ่งในโลกสมัยใหม่ ทุกคนล้วนอยู่ใน ‘โมเดลทดลอง’ ว่ารูปเเบบการเมืองที่ดีที่สุด รูปเเบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่ดีที่สุดคืออะไร จีนอาจจะประสบความสำเร็จในเบื้องต้นในเวลานี้ เเต่ในอีก 50 ปีข้างหน้าไม่มีใครตอบได้ว่าจีนจะเดินไปสู่จุดไหน อเมริกาอาจจะเคยทำสำเร็จหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา เเล้วเศรษฐกิจเจริญเฟื่องฟูก้าวหน้า เเต่ก็ไม่มีใครตอบได้เหมือนกันว่าแล้วอีก 10 ปี 20 ปี กระทั่ง 50 ปีข้างหน้า อเมริกาจะเดินไปสู่จุดไหน อังกฤษเคยเป็นจักรวรรดินิยมยิ่งใหญ่ เคยมาล่าอาณานิคมเเถวๆ นี้ วันนี้อังกฤษยังหาทางไปให้กับตัวเองไม่เจอ เเล้วก็จะหนีออกจากยุโรปซะอีก ยุโรปซึ่งเคยเป็นมหาอำนาจปกครองเอเชียมายาวนาน วันนี้ก็หาทางไปไม่เจอเหมือนกัน
ท่านผู้มีเกียรติครับ เราอยู่ในเรือลำเดียวกัน น้ำท่วมโลกฮะ ไม่ได้มีประเทศไหนรอดจากปรากฏการณ์นี้เป็นพิเศษ เเละเราไม่ได้เป็นประเทศที่มีอัจฉริยภาพสูงส่งกว่าประเทศใดในโลก เราไม่ได้เป็นข้อยกเว้นว่าไทยไม่เหมือนใครในโลก บางเรื่องเราไม่เหมือนจริงฮะ เเต่ในบางสถานการณ์กลับมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก
เรามีแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แต่เราบอกว่าห้ามใครเเก้ นอกจากห้ามเลี้ยวซ้าย ห้ามเลี้ยวขวา ล๊อคล้อแล้ว เราล็อคพวงมาลัยด้วยฮะ ห้ามใครเเก้ ในความเปลี่ยนเเปลงของโลกที่สูงขนาดนี้ อันตรายอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับเราล็อคพวงมาลัยว่าทิศทางการพัฒนาในอนาคตเบื้องหน้า คือต้องเดินตามเส้นทางนี้เท่านั้น ผมไม่เเน่ใจว่านี่คือข่าวดีหรือข่าวร้าย
คำถามใหญ่ที่กลับมาคำถามเดิมคือ เเล้วเรามีการออกแบบ เรามีข้อตกลงหรือเรามีเเกรนด์ดีไซน์ที่จะบอกไหมว่า ตกลงในเวลา 20 ปีต่อจากนี้ ประเทศไทยจะเดินไปทางไหน เราควรจะอยู่ร่วมกันอย่างไร มันไม่มีทางที่คุณขับรถหนึ่งคันเเล้วล้อซ้ายฝั่งหน้าเลี้ยวไปทางซ้าย เเละล้อขวาฝั่งหน้าเลี้ยวไปทางขวา มันไปไม่ได้ครับ เเต่วันนี้เราอยู่ในสถานการณ์เเบบนั้น รถหนึ่งคันมีสองพวงมาลัย คนหนึ่งจะเลี้ยวซ้ายอีกคนจะเลี้ยวขวา เเล้วจอดอยู่กลางสี่เเยกมาบุญครองนี่แหละครับ เเล้วไฟเขียวทุกด้านหรือว่าไฟเเดงทุกด้านด้วย เราร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ เรากำลังบอกว่าจะมีการเลือกตั้ง แต่ รัฐธรรมนูญเราเหมือนเป็นกระบวนการล็อคล้อของรถยนต์ ไว้ทั้งหมด ด้านหนึ่งจะเลี้ยวซ้าย ด้านหนึ่งจะเลี้ยวขวา รัฐธรรมนูญเลยบอก “เอางี้ละกัน มึงไม่ต้องเลี้ยว กูล็อคไว้หมดเลยแล้วกัน” เเล้วก็ใส่เกียร์ แล้วบอกว่า “เราจะเดินหน้าประเทศไปเบื้องหน้า” เเต่ขออภัยกูล็อคล้อไว้ว่ะ
ทุกวันนี้เช้าตื่นมา เวลาเราจะส่องเฟซบุ๊ก เราส่องอย่างเดียวว่าวันนี้ใครจะติดคุกเพิ่มขึ้นวะ ในสถานการณ์ที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ ในสถานการณ์ที่กฎเเละกติกาไม่ได้เอื้อให้คนกล้าหาญเเละเดินไปข้างหน้า มันเป็นสถานการณ์แห่งความยากลำบากว่าเราจะนำรถยนต์หรือนำประเทศไปข้างหน้าได้อย่างไร เรายังไม่สามารถออกแบบแนวคิดใหญ่ที่สุดได้ว่าประเทศนี้จะเดินไปทางไหน เราออกเเบบประเทศหรือออกเเบบอนาคตของประเทศด้วยความกลัว เมื่อเรากลัวเราจึงป้องกัน เรากลัวอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นกับประเทศในอนาคต เราจึงล็อคล้อมันไว้ ไม่ให้มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้า เราเกลียดไอ้พวกเลี้ยวซ้ายเราก็จะจับมันเลี้ยวขวา ส่วนพวกเลี้ยวขวาก็จะเลี้ยวขวา พวกเลี้ยวซ้ายก็บอกไม่ไป ผมจะไปทางซ้าย ล้อทั้งหมดเลยถูกล็อคเอาไว้ เลี้ยวซ้ายก็ไม่ได้ เลี้ยวขวาก็ไม่ได้ อยากจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าก็ไปไม่ได้
เรามีแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แต่เราบอกว่าห้ามใครเเก้ นอกจากห้ามเลี้ยวซ้าย ห้ามเลี้ยวขวา ล๊อคล้อแล้ว เราล็อคพวงมาลัยด้วยฮะ ห้ามใครเเก้ ในความเปลี่ยนเเปลงของโลกที่สูงขนาดนี้ อันตรายอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับเราล็อคพวงมาลัยว่าทิศทางการพัฒนาในอนาคตเบื้องหน้า คือต้องเดินตามเส้นทางนี้เท่านั้น ผมไม่เเน่ใจว่านี่คือข่าวดีหรือข่าวร้าย
ข่าวดีคือเราอยู่ในรถยนต์ที่ถูกล็อคล้อทั้ง 4 ล้อเอาไว้ ถูกล็อคพวงมาลัยเอาไว้ และเป็นรถยนต์ที่เราจะขับเคลื่อนไปเบื้องหน้า เเต่เส้นทางที่รถยนต์กำลังวิ่งคือเส้นทางลงเขาฮะ เเละเต็มไปด้วยทางโค้ง เต็มไปด้วยความเสี่ยง เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม และการเปลี่ยนเเปลงในระดับโลกมากมาย ถามใจท่านจริงๆ เถอะครับ ถ้าประเทศเป็นรถบัสเเละเอาทุกท่านขึ้นไปอยู่บนรถบัสคันนี้ รถบัสที่ล็อค 4 ล้อ และล้อกำลังฟรีไหลลงเขา ล็อคพวกมาลัยไว้ด้วย เราทุกท่านนั่ง ขอให้ทุกท่านจงรัดเข็มขัดให้ปลอดภัยนะครับ เพราะเรากำลังจะปล่อยรถคันนี้ลงเขามาอย่างช้าๆ เเล้วคนขับรถก็หันมาบอกว่า “นี่ทำเต็มที่เเล้วนะ เสียสละมาเหนื่อยมาก เอ้า! ยังจะว่าอะไรอีก ลองมาทำดูบ้างสิ” เราก็ต้องหันไปขอบคุณคนขับที่ปล่อยมือจากพวงมาลัย เพราะถูกล็อคไว้แล้ว
แล้วเราทำได้อย่างเดียวตอนนี้คือ “สวดมนต์ครับ”
– 7 –
นี่คือสถานการณ์ที่เราออกแบบอนาคตไม่ได้ หรือว่าเราพยายามออกแบบอนาคตแต่เป็นอนาคตที่มันไม่มีอนาคต เพราะเป็นอนาคตที่ไม่ได้โอบกอดทุกคนทุกฝ่ายเอาไว้ร่วมกัน เป็นอนาคตที่ไม่ได้ทำให้คนเห็นความหวังว่าประเทศนี้จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ แสดงว่ากระบวนการคิดกระบวนการออกแบบมันต้องมีอะไรผิดพลาดบางอย่าง เมื่อเราออกแบบอนาคตแล้วคนถึงไม่อยากไปกับเรา ถ้าการออกแบบถูกต้อง กระบวนการออกแบบถูกต้อง วิธีการคิดถูกต้อง ดีไซน์หรือแบบที่ออกมาถูกต้อง คนส่วนใหญ่ในประเทศจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และจากรถที่โดนล็อคล้อไว้จะกลายเป็นรถโฟร์วิว คนขับจะขับฉิวมาก แถมเปิดประทุนเด็ดดอกไม้ระหว่างทางดมหนึ่งทีแล้วขับต่อ แต่เราไม่ได้อยู่บนรถแบบนั้น เราอยู่บนรถโรงเรียนคันเก่าสีเหลืองๆ ที่ถูกล็อคล้อไว้หมด คนขับถูกล็อคพวงมาลัยและหันมาดุเราเล็กน้อย นี่คืออนาคตของประเทศที่กำลังพาเราไปเบื้องหน้า ในขณะที่อนาคตของเพื่อนบ้านในภูมิภาคเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นถ้าเราไม่กลับมามองว่าเราจะออกแบบอนาคตของประเทศร่วมกันอย่างไร มันยากมากที่เราจะกลับมาคุย แล้วเราจะออกแบบเมืองอย่างไร จะวางผังเมืองอย่างไร จะออกแบบอนาคตของบ้านที่อยู่อาศัยอย่างไร พอคุณออกแบบเสร็จ บ้านคุณดีแค่ไหน คุณอาจจะไม่ได้อยู่ในบ้านหลังนั้น คุณจะออกแบบเมือง ออกแบบบ้าน ออกแบบชีวิตอย่างไร เราอาจจะทำได้โดยปัจเจก แต่ไม่ใช่ว่าเราจะรอดนะฮะ ตราบใดที่อนาคตที่เป็นภาพใหญ่ที่สุด ซึ่งผมใช้คำว่า ‘แกรนด์ดีไซน์’ (Grand Design) เราทำไม่สำเร็จ หรือเราหาฉันทามติร่วมกันไม่ได้ว่าดีไซน์ใหญ่ที่สุดของประเทศเราจะเดินไปทางไหน ปัจเจกชนรอดยากมาก
ในอนาคตคณะรัฐมนตรีแต่เพียงลำพังอย่างเดียวกำหนดอนาคตของประเทศไม่ได้ ถ้ามันไม่มีกระบวนการที่ประชาชนทุกคนที่มีส่วนได้เสียเข้ามาร่วม แล้วเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการออกแบบอนาคตประเทศ มันยากที่จะพาประเทศนี้เดินหน้าต่อไปข้างหน้าได้
ฉะนั้นสิ่งที่เราเจอ มันคือการออกแบบ มันคือปัญหาของการออกแบบที่ยากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของประเทศ ซึ่งมันอาจจำเป็นที่ต้องใช้ภูมิปัญญาของเหล่าสถาปนิก ต้องใช้ Design Thinking ใช้วิธีคิดทางการออกแบบ ใช้กระบวนการเรียนรู้ต่างๆ ใช้ความครีเอทีฟ ใช้วิธีการคิดนอกกรอบเข้าไปช่วยในฟากเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งท่าทางจะคิดกันไม่ค่อยออก แสดงว่าวิธีคิดแบบเดิมที่เราใช้กฏหมายนำ ใช้การออกแบบกฎหมายเพื่อกำหนดอนาคตประเทศ มันเริ่มจะไปต่อไม่ได้ แสดงว่าสำนักคิดทางนิติศาสตร์ สำนักคิดทางรัฐศาสตร์ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของการกำหนดอนาคตประเทศ สำนักคิดทางฝั่งการออกแบบ สำนักคิดสมัยใหม่ สำนักคิดฝ่ายสร้างสรรค์อาจจะต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการร่วมชี้นำ แลกเปลี่ยน กำหนดอนาคต และกำหนดดีไซน์ใหญ่ให้กับประเทศ
คำถามของเราในวันนี้คือ เรามีแพลตฟอร์มหรือว่าเรามีพื้นที่นี้ไหม ที่จะทำให้ทุกคนเข้ามาร่วมกันกำหนดอนาคตของประเทศชาติ คำตอบเรารู้กันดีอยู่ว่า “ยังไม่มี”
คำถามคือทำอย่างไรที่เราจะเอาปัญญาเหล่านี้มารวมไว้ด้วยกัน แล้วมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันว่ามันมีทางออกอื่นในการกำหนดอนาคตของประเทศ และอนาคตของประเทศไม่ได้จำเป็นที่จะต้องถูกกำหนดโดยรัฐสภาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ในอนาคตสภาแต่เพียงลำพังกำหนดอนาคตประเทศไม่พอ ในอนาคตคณะรัฐมนตรีแต่เพียงลำพังอย่างเดียวกำหนดอนาคตของประเทศไม่ได้ ถ้ามันไม่มีกระบวนการที่ประชาชนทุกคนที่มีส่วนได้เสียเข้ามาร่วม แล้วเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการออกแบบอนาคตประเทศ มันยากที่จะพาประเทศนี้เดินหน้าต่อไปข้างหน้าได้
คำถามของเราในวันนี้คือ เรามีแพลตฟอร์มหรือว่าเรามีพื้นที่นี้ไหม ที่จะทำให้ทุกคนเข้ามาร่วมกันกำหนดอนาคตของประเทศชาติ คำตอบเรารู้กันดีอยู่ว่า “ยังไม่มี” ฉะนั้นโจทย์ใหญ่ของคณะสถาปัตย์และคณะที่เรียนทางด้านการออกแบบอาจจะไม่ใช่เพียงการออกแบบเมือง ผังเมือง บ้าน วิถีชีวิตของผู้คน โจทย์ที่ใหญ่กว่าและท้าทายปัญญาของคนอย่างพวกเราคือ เราจะใช้ความรู้ที่เรามี ทักษะประสบการณ์ที่เรามี ร่วมกันออกแบบอนาคตของประเทศได้อย่างไร เราจะสร้างพลังทางด้าน Soft Power หรือปัญญาอันละมุนละไมและเป็นสุนทรียศาสตร์ ที่เขาบอกว่ากำลังจะตาย เข้าไปช่วยปัญญาที่มันกำลังตายจริงๆ ได้อย่างไร
สิ่งที่จะตายไม่ใช่มนุษยศาสตร์นะฮะ ไม่ใช่คณะอย่างสถาปัตยกรรม ไม่ใช่สุนทรียศาสตร์ที่พูดกัน นี่คือคณะและความรู้แห่งอนาคต ซึ่งมันจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งหลังจากการทำงานอย่างเต็มที่ของเอไอ มนุษย์จะโหยหาอดีตและจะหวนกลับไปที่จุดจุดนั้น วิชาความรู้ที่ท่านมีอยู่ในอนาคตอันสั้นอาจจะไม่สำคัญเท่ากับอนาคตอันไกลโพ้น เราจำเป็นต้องพึ่งพาปัญญาแบบนี้ พึ่งพาความคิดสร้างสรรค์แบบนี้ เพื่อที่จะกำหนดอนาคตที่รวมสุนทรียศาสตร์ รวมความเป็นมนุษย์เข้าไปไว้ในเมือง รวมความเป็นมนุษย์เข้าไปไว้ในอนาคตของประเทศ เราต้องการประเทศที่เห็นหัวมนุษย์ทุกคน เห็นหัวจิตหัวใจของมนุษย์ทุกคน ประเทศที่สร้างโดยไม่เห็นหัวมนุษย์ ไม่มีมนุษย์ที่ไหนอยากอยู่อาศัย ประเทศที่สร้างโดยไม่เห็นหัวใจมนุษย์ เป็นประเทศที่แห้งแล้งโดดเดี่ยวและไม่มีความสุข เราอย่าช่วยกันสร้างประเทศเช่นนั้นขึ้นมา อย่างน้อยก็ในประเทศของเราที่เราอาศัยอยู่
– 8 –
วันนี้เรายืนอยู่บนทางแพร่ง ว่าเราจะนำพาอนาคตของประเทศชาติไปทางไหน เราไม่มีคนอื่นช่วยเราได้นะครับ คือพวกเราเองในทุกๆ เซกเตอร์ ในทุกๆ ภาควิชา ในทุกๆ สาขาต้องเริ่มคิด ต้องเริ่มรวมตัวกัน รวมปัญญากัน ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งฉลาดที่สุดในประเทศ คิดออกทุกเรื่อง สร้างคำตอบที่สำเร็จรูปคำตอบใดคำตอบหนึ่ง แล้วนำพาประเทศไปได้ ไม่มีครับ เราจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องร่วมมือกัน รวมพลังและรวมปัญญากัน สร้างฟอรั่มขนาดใหญ่ ขบคิด ถกเถียง แก้ปัญหาร่วมกัน วางแผนว่า เราจะออกแบบที่สำคัญที่สุด คือการออกแบบอนาคตของประเทศที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เห็นหัวใจของผู้คน แบ่งปันจัดสรรรายได้ให้คนอยู่อาศัยในประเทศนี้แล้วมันมีความสุข มันมีโอกาส แล้วมันเห็นอนาคตเบื้องหน้าได้อย่างไร นี่คือภารกิจที่ใหญ่มาก แล้วถ้าเราทำเรื่องนี้สำเร็จ การออกแบบเมือง การออกแบบบ้าน การออกแบบชีวิตผู้คน จะเป็นสิ่งที่ตามมา เพื่อตอบโจทย์ใหญ่ที่สุดที่เราจำเป็นต้องทำ
เติ้ง เสี่ยวผิง วางนโยบายสำคัญในปี 1978 หลังจากหมดยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม แล้วทบทวนว่านโยบายของเหมาผิดพลาด การปิดประเทศก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง ผู้คนบาดเจ็บล้มตายไปหลายล้านคน ถ้าเติ้ง เสี่ยวผิง ไม่คิดใหม่ ไม่ทำใหม่ ไม่ละวางอดีต มัวแต่จะไปแก้แค้นพวกที่ทำร้ายทำลายตน จีนเดินหน้าต่อไปไม่ได้
วันนี้เรามีล้อซ้ายล้อขวา เรามีเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา แต่เราไม่มีเส้นทางที่จะตรงไปข้างหน้า เส้นทางที่ซ้ายและขวาจะใช้ร่วมกันเพื่อเดินไปให้ถึงจุดหมาย ในอดีตจีนมีวันนี้ได้เพราะว่า เติ้ง เสี่ยวผิง วางนโยบายสำคัญในปี 1978 หลังจากหมดยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม แล้วทบทวนว่านโยบายของเหมาผิดพลาด การปิดประเทศก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง ผู้คนบาดเจ็บล้มตายไปหลายล้านคน ถ้าเติ้ง เสี่ยวผิง ไม่คิดใหม่ ไม่ทำใหม่ ไม่ละวางอดีต มัวแต่จะไปแก้แค้นพวกที่ทำร้ายทำลายตน จีนเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ปี 1978 หลังจากเติ้ง เสี่ยวผิง กลับมาครองอำนาจอีกครั้ง สิ่งที่เติ้ง เสี่ยวผิง ทำคือเดินทางเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา มาประเทศไทย แล้วก็ลงไปมาเลเซีย เสร็จแล้วก็ลงไปสิงคโปร์ แล้วก็ไปสนทนากับ ลี กวนยู ผมเล่าไว้ในหนังสือ FUTURE: ปัญญาอนาคต หลายท่านที่อ่านแล้วคงเข้าใจ ลี กวนยูวันนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีน้อยๆ ด้วยความสุภาพก็บอกท่านเติ้งว่า เราเนี่ยเป็นเพียงชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพหนีความอดอยากยากจนมาจากแผ่นดินใหญ่ เรายังก่อสร้างประเทศได้ขนาดนี้ ท่านเป็นจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นอู่อารยธรรม เป็นเมืองหลวง ทำไมจีนจะสร้างความยิ่งใหญ่ไม่ได้ จากประมาณปี 1987 ล่ะครับ จีนใช้เวลา 20 ปี เปิดเขตเศรษฐกิจทางฝั่งตะวันออกก่อนแถว เชินเจิ้น (深圳) ทำให้เมืองทางตะวันออกเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าทุกท่านมีโอกาสแล้วไปเยือนเชินเจิ้น จะเห็นว่าเชินเจิ้นทุกวันนี้แทบไม่แตกต่างจากสิงคโปร์ ไม่ใช่เชินเจิ้นสมัยอดีตที่อากงอาม่าเราไปเยือนแล้วก็เอาเสื้อเก่ากางเกงขาดไปฝากญาติ ทุกวันนี้ญาติเราตัดอาร์มานี่ (Armani) ใส่กันหมดแล้วฮะ เป็นซิลิคอนแวลลีย์แห่งใหม่ของเอเชีย ต้นไม้ที่เชินเจิ้นปลูก 6 ชั้นเหมือนสิงคโปร์ครับ การตัดต้นไม้ตัดเหมือนสิงคโปร์ สวยงามมาก ไม่ได้ถูกประหารชีวิตตลอดเวลาเหมือนต้นไม้ไทย จีนไปศึกษาจากสิงคโปร์และทำอย่างรวดเร็วภายในเวลา 20 ปี ไม่ถึง 100 ปี หรือไม่ต้อง 50 ปีเท่าสิงคโปร์ จีนสามารถพัฒนาเศรษฐกิจขึ้นมาได้ เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด
ประเทศเราความเหลื่อมล้ำของคน 2 กลุ่มนี้ติดอันดับ 3 ของโลก คนที่รวยที่สุด 1 เปอร์เซ็นต์แทบจะถือครองทรัพย์สินทั้งหมดของประเทศเกินกว่าครึ่ง อาจจะตั้งแต่ 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป เผลอๆ ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่คนจนเหลือทรัพยากรแบ่งกันน้อยมาก คนอีก 99 เปอร์เซ็นต์แบ่งทรัพยากรกันไม่ถึงครึ่ง มันเป็นการพัฒนาที่ไม่ทำให้มนุษย์มีความสุข เป็นการพัฒนาที่ไม่เห็นหัวคน …มันไม่ใช่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ปี 1981 มีหมอหนุ่มๆ คนหนึ่งขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีชื่อ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อยู่มาจนอายุ 92 เล่าไปในวันนั้นคงไม่มีใครเชื่อว่า 92 จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกทีหนึ่ง นี่มัน Aging Society ของจริงนะครับ มหาเธร์ทำผิดบ้างถูกบ้างทางการเมือง กำจัดศัตรูหรือว่าทายาททางการเมืองหลายต่อหลายคน ทำมาเลเซียให้ก้าวหน้า และก็ผลพวงของการตัดสินใจวางอนาคตวางทายาทที่ผิดพลาด ก็ทำมาเลเซียให้ล้าหลัง วันนี้อายุ 90 เศษๆ ขอกลับมาแก้มือครั้งสุดท้าย แก้ไขความผิดพลาดที่ตัวเองเคยทำไว้ แล้วกำลังจะวางอนาคตใหม่ด้วยวิสัยทัศน์ของคนอายุ 92 ปี จะดีจะชั่วจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วย แต่อย่างน้อยมาเลเซียกำลังรู้ว่าตัวเองจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างไรด้วยปัญญาของคนอายุ 92
ฮ่องกงหลังจากออกจากการปกครองของจีน ออกจากการปกครองของอังกฤษ จีนก็ใช้เป็นที่ทดลองทุนนิยม ดูสิว่าโมเดลหนึ่งประเทศสองระบบจะเป็นอย่างไร แน่นอน เดี๋ยวก็ต้องมีการประท้วง เราต้องมีคนอย่าง โจชัว หว่อง เกิดขึ้นมา จีนก็ต้องหาทางผ่อนหนักผ่อนเบาว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะผ่อนหนักผ่อนเบากับประชาธิปไตยอย่างไร ให้หมดเลยก็ไม่ได้ ไม่ให้ก็ไม่ได้ มันเป็นศิลปะในการประนีประนอมและการอยู่ร่วมกันของทุนนิยมสมัยใหม่กับประชาธิปไตยซึ่งเคารพสิทธิของประชาชน มันไม่มีโมเดลที่ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด ทุกประเทศล้วนอยู่ในโมเดลทดลองว่าการเมืองการปกครองและระบบเศรษฐกิจที่ดีที่สุด มันคือจุดไหน ทุนนิยมที่สุดๆ อย่างทุกวันนี้ก็ไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์แบบ เพราะว่าความเหลื่อมล้ำหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 มันทำให้คนรวย 1 เปอร์เซ็นต์ถ่างจากคนจน 99 เปอร์เซ็นต์อย่างมากมายมหาศาล ประเทศเราความเหลื่อมล้ำของคน 2 กลุ่มนี้ติดอันดับ 3 ของโลก คนที่รวยที่สุด 1 เปอร์เซ็นต์แทบจะถือครองทรัพย์สินทั้งหมดของประเทศเกินกว่าครึ่ง อาจจะตั้งแต่ 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป เผลอๆ ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่คนจนเหลือทรัพยากรแบ่งกันน้อยมาก คนอีก 99 เปอร์เซ็นต์แบ่งทรัพยากรกันไม่ถึงครึ่ง มันเป็นการพัฒนาที่ไม่ทำให้มนุษย์มีความสุข เป็นการพัฒนาที่ไม่เห็นหัวคน และในประวัติศาสตร์การพัฒนาที่ไม่เห็นหัวคนและทำให้คนไม่มีความสุขหรือไม่เห็นหัวใจคน มันไม่ใช่การพัฒนาที่ยั่งยืน ในประวัติศาสตร์มันต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง หรือว่าใหญ่ที่สุด
ในจีนก็มีประสบการณ์เหล่านี้ในการล้มล้างราชวงศ์ต่างๆ มาในอดีต ราชวงศ์สำคัญๆ ของจีน คนที่ปฏิวัติและล้มล้างมาทั้งหมดส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวนา คือคนที่อยู่ล่างที่สุดได้รับเดือดเนื้อร้อนใจมากที่สุด เมื่อทนไม่ได้ เหลืออยู่ทางออกทางเดียวคือต้องลุกขึ้นมาสู้ การสู้คือการจับอาวุธสู้ แล้วเมื่อไหร่ชาวนาหรือคนจนลุกขึ้นมาสู้ มันเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
– 9 –
ทำอย่างไรที่เราจะผสานทุกพลังที่เราจะใช้ประโยชน์ในช่วงการเปลี่ยนแปลงสำคัญทางประวัติศาสตร์โลก รวมพลังของคนที่อยู่ล่างที่สุดของสังคม ทำอย่างไรให้คนระดับล่างเติบโตขึ้นมาเป็นชนชั้นกลาง เหมือนกับที่ เติ้ง เสี่ยวผิง เปิดประเทศ แล้วทำให้มีคนชนชั้นกลางหรือมีเศรษฐีเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นร้อยล้านคน ประคองเศรษฐกิจมาได้ 20 ปี 30 ปี หรือ 40 ปี
อนาคตสร้างได้อย่างเดียวครับ ด้วยการเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่เดินเลี้ยวขวาสุดๆ เดินเลี้ยวซ้ายสุดๆ หรือเดินย้อนกลับไปข้างหลังสุดๆ อนาคตคือซ้ายขวาหน้าหลังร่วมมือกันรวมพลัง และเดินต่อไปข้างหน้าได้ เราจึงจะสร้างอนาคตให้กับประเทศได้
ทำอย่างไรที่เราจะทำให้คนจนที่สุดเติบโตขึ้นมาได้ ไม่มีทางที่ประเทศจะพัฒนาได้โดยเต็มไปด้วยคนจน ประเทศจะรวยได้ต่อเมื่อคนจนกลายเป็นคนรวย ไม่ใช่ทำให้คนรวยรวยมากขึ้นและคนจนจนเท่าเดิม เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาดไม่ว่าประเทศไหน ฉะนั้นเราอยู่ในจุดอันตรายมาก แต่เรามีโอกาสและมีความหวังที่จะรวมคนกลุ่มต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันที่สี่แยก แล้วเดินไปข้างหน้า กำหนดอนาคตใหม่ร่วมกัน เรารวมพลังคนชนชั้นกลางที่หวังจะสร้างเนื้อสร้างตัวสร้างอนาคต อยากจะเป็นสตาร์ทอัพ อยากจะลงทุนในเทคโนโลยีสมัยใหม่ เรารวมพลังกับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่อยากออกไปต่อสู้ในระดับชาติ ออกไปต่อสู้ในระดับประเทศ ออกไปต่อสู้กับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เรามีกำลังการผลิตที่สำคัญ เรามีฐานทรัพยากรทางเกษตรที่ดีมาก เรามีต้นทุนการท่องเที่ยวที่ดี ประเทศไทยมีต้นทุนมีทรัพยากรที่สูงมาก แต่เรายังไม่เจอจุดที่จะรวมพลังเหล่านี้และมีฉันทามติร่วมกันเพื่อที่จะเดินต่อไปข้างหน้าได้ นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด และถ้าเราทำได้ เราจะกลายเป็นจีนหลังยุคเติ้ง เสี่ยวผิง เราจะกลายเป็นสิงคโปร์หลังยุคลี กวนยู กลายเป็นมาเลเซียหลังยุคมหาเธร์ แต่ตอนนี้เราอยู่ในจุดที่เรายังไม่รู้จะกำหนดยุทธศาสตร์ใหญ่อย่างไร เราอยู่ในจุดที่ยังไม่มีความเห็นพ้องต้องกันในทางประวัติศาสตร์
คำถามสำคัญอีกคำถามหนึ่งคือเรารู้หรือไม่ว่าเรายืนอยู่ตรงจุดหรือว่าสี่แยกแห่งนี้ ถ้าเรารู้ อย่างน้อยเราก็จะหันไปสบตาเพื่อนบ้านหรือคนข้างๆ ฝ่ายที่คิดต่างเห็นต่าง แล้วรวมพลังกันเพื่อเดินต่อไปข้างหน้า แต่ถ้าเราไม่รู้ เราจะลากประเทศไปสุดลูกหูลูกตา ทางซ้ายทางขวา หรือกลับไปทางข้างหลัง
อนาคตสร้างได้อย่างเดียวครับ ด้วยการเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่เดินเลี้ยวขวาสุดๆ เดินเลี้ยวซ้ายสุดๆ หรือเดินย้อนกลับไปข้างหลังสุดๆ อนาคตคือซ้ายขวาหน้าหลังร่วมมือกันรวมพลัง และเดินต่อไปข้างหน้าได้ เราจึงจะสร้างอนาคตให้กับประเทศได้
ในฐานะที่ทุกท่านเรียนเรื่องการออกแบบมา โจทย์ใหญ่สำคัญที่สุดของทุกท่านในวันนี้คือท่านจะออกแบบอนาคตของประเทศ ซึ่งจะกลายเป็นอนาคตของเรา และลูกหลานของเราได้อย่างไร
ขอให้ท่านประสบความสำเร็จในการขบคิดโจทย์นี้ครับ ขอบคุณครับ.
*หมายเหตุ: เรียบเรียงจากปาฐกถาพิเศษ ‘ดีไซน์ใหม่ประเทศไทย เพื่อไปสู่อนาคต’ (Thailand’s GRAND DESIGN : Architecture for the Future) โดย ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ในงานประชุมวิชาการประจำปีของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2561 และได้รับอนุญาตให้เรียบเรียงและเผยแพร่โดยสำนักพิมพ์ openbooks
เรียบเรียง : วชิรวิชญ์ กิติชาติพรพัฒน์
FACT BOX
- Fulfillment Center คือสถานที่หรือคลังที่รับสินค้าจากบริษัทในเครือ บริษัทต่างๆ หรือพ่อค้าที่ใช้บริการ แล้วนำสินค้ามาจัดการ ใส่บรรจุภัณฑ์ บรรจุสินค้าลง Package และจัดส่งสินค้า