life

Booksberry เป็นร้านหนังสืออิสระที่เน้นหนังสือเด็กและเยาวชนเป็นหลัก ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เกิดจากความชอบหนังสือเด็กของเจ้าของร้าน มีหนังสือผู้ใหญ่บ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นแนวการออกแบบ วิเคราะห์ และจิตวิทยา 

ที่ Booksberry จะมีส่วนห้องสมุด และร้านกาแฟ อาหาร บริการด้วย ห้องสมุดให้บริการอ่านหน้าร้านเท่านั้น ค่าสมาชิกมีทั้งแบบรายวัน (50 บาท/วัน) และรายปี (500 บาท/ปี) ผู้มาเยี่ยมห้องสมุดครั้งแรกอ่านฟรี 

ชั้นสองของร้านหนังสือเปิดให้บริการห้องพักสำหรับนักท่องเที่ยว และมีพื้นที่ส่วนกลางให้เด็กๆ นำเกมกล่องขึ้นไปเล่นได้ 

ข้อความแนะนำตัวบหน้าเพจเฟสบุ๊คของร้านหนังสือเด็ก Booksberry ที่มียอดผู้กดติดตามเกิน 22,000 ราย ระบุไว้เช่นนั้น

booksberry

ร้านหนังสืออิสระ ที่เต็มไปด้วยหนังสือนิทาน นิยายภาพสวยๆ มีมุมให้นั่งเอกเขนกอ่านหนังสือฟรี มีกาแฟ ขนม และของหวานให้สั่งกิน แถมยังนอนค้างคืนในร้านหนังสือได้ด้วยเหรอ 

นี่มันสถานที่ในฝันของหนอนหนังสือชัดๆ !

booksberry

แต่ความเป็นจริงกลับสวนทางกับโลกแห่งความฝันอย่างสิ้นเชิง 

ไม่มีใครมาเสวยสุข ไม่มีใครมาอ่านหนังสือ ไม่มีใครมาใช้ร้าน เราลงทุนไปแม้แต่จะให้ใครสักคนมานั่งอ่านหนังสืออย่างแฮปปี้ เขายังไม่มาเลย มิ้น – โสภณา เตริยาภิรมย์ เจ้าของร้านหนังสือเด็ก Booksberry ตัดพ้อถึงสถานการณ์ที่เธอกล้ำกลืนมาตลอด ปี

booksberry
มิ้น – โสภณา เตริยาภิรมย์
เจ้าของร้านหนังสือ Booksberry

และอาจไม่ใช่แค่ร้านหนังสืออิสระแห่งนี้เพียงแห่งเดียว ที่อุตส่าห์ตั้งใจเปิดประตูร้าน ปัดกวาดฝุ่นละอองออกจากหนังสือทุกเล่ม เปิดหน้าต่างให้แสงแดดลอดเข้ามาเพิ่มความสว่างสดใสในตัวร้านไม่เว้นแต่ละวัน เพื่อรอคอยที่จะต้อนรับลูกค้าของพวกเขา แต่ยิ่งวัน ผู้คนกลับยิ่งเดินถอยห่างจากการไปเยือร้านหนังสือมากขึ้นทุกที 

คุณแม่ลูกสาม อดีตสถาปนิก คนทำหนังสือ และ AE ในบริษัทโฆษณา ผู้เป็นหนอนหนังสือเด็กตัวยง ที่เลือกหันหลังให้ทุกอาชีพ แล้วปักหลักมาเลือกหนังสือเด็กคุณภาพดีมาขายผ่านหน้าร้านออนไลน์นานกว่าสิบปี ที่กำลังอกหักจากการเปิดร้านหนังสือแสนสวย พร้อมแล้วที่จะเล่าประสบการณ์ที่ไม่สวยหรูหรือมีตอนจบแฮปปี้เอ็นดิ้งอย่างในนิทาน สู่กันฟัง

booksberry

อะไรคือเหตุผลที่คุณเลือกขายหนังสือเด็กโดยเฉพาะ 

มิ้นจะขายเฉพาะสิ่งที่ตัวเองถนัดและมีความสนใจ เราจะได้ไม่ต้องแข่งกับใคร เลยเริ่มจากการขายหนังสือเด็กทางออนไลน์เมื่อสิบปีก่อน และขายดีมาโดยตลอด เพราะไม่มีคู่แข่ง คิดว่าเป็นเพราะไม่มีใครว่างจริงจังพอจะทำเรื่องนี้ สมมติว่าเป็นคุณแม่ที่อ่านหนังสือกับลูกก็คงไม่ว่างพอที่จะมานั่งเสาะหาหนังสือเยอะๆ มิ้นเลยจับจุดตรงนี้ ที่โดยส่วนตัวเป็นคนชอบอ่านหนังสือเด็กอยู่แล้ว เล่มไหนอ่านแล้วชอบก็เขียนรีวิวออกมาเป็นบทความให้คนได้อ่าน แล้วเขาจะเกิดความสนใจอยากซื้อหนังสือ ซึ่งส่วนใหญ่มิ้นขายหนังสือด้วยวิธีนี้ การเขียนรีวิวทำให้คนรู้ว่ามีหนังสือที่น่าอ่านอยู่ที่ร้านนี้

booksberry

แปลว่าคุณอ่านจริงทุกเล่ม และต้องเขียนรีวิวก่อน ถึงจะลงมือขาย 

ใช่ค่ะ แต่ก็สั่งหนังสือที่ตัวเองยังไม่เคยอ่านมาเพื่อลงขายด้วยเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ที่ขายดิบขายดี ขายได้ปกละ 40 เล่ม ปกละ 100 เล่ม มักเป็นหนังสือที่เราอ่านเอง แล้วเราก็เขียนถึงมันเยอะหน่อย หนังสือที่มิ้นสั่งเข้ามาแล้วไม่ชอบ ส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้ลงรีวิว และขายบ้าง ไม่ขายบ้าง เพราะคาดว่าคนซื้ออ่านแล้วอาจจะไม่สนุก ขึ้นอยู่กับอายุและปัจจัยหลายๆ อย่าง 

บางครั้งเวลาลูกค้าเลือกหนังสือบางเล่มที่มิ้นรู้สึกว่าลูกเขาอาจจะโตเกินไปแล้วสำหรับเล่มนี้ ก็จะบอกเขาตรงๆ เช่น ถ้าลูกคุณยังไม่คล่องภาษาอังกฤษมากนัก เล่มนี้ยังไม่น่าจะหยิบไปอ่าน เพราะมิ้นเชื่อว่าถ้าได้หนังสือที่เหมาะกับเด็ก เขาจะกลับมาอีก แต่ถ้าไม่เหมาะ ซื้อไปอ่านแล้วไม่สนุก เขาคงไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นการเลือกหนังสือให้ลูกค้าต้องมีความใส่ใจ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำยอดขายประจำเดือน ประจำวัน แล้วจบๆ ไป มันเป็นเรื่องของความต่อเนื่อ

booksberry

แสดงว่า Booksberry มีลูกค้าขาประจำ 

เยอะค่ะ เยอะมาก ลูกค้าประจำเอาไปบอกต่อกันก็เยอะ เรื่องยอดขายจึงไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ลงขายปุ๊บก็หมด มีคนซื้อไม่ทันเยอะแยะ แต่จุดที่ทำให้เปิดร้านก็คือ อยู่ดีๆ คนที่ซื้อหนังสือมาตลอด พอลูกขึ้นชั้นประถม เขากลับเลิกซื้อหนังสือกับเรา มิ้นก็ไม่รู้คำตอบว่าเป็นเพราะสถานการณ์ภายนอกรึเปล่า เช่น เขามีกิจกรรมอื่นๆ ที่อยากทำ หรือเป็นเพราะว่าร้านเราไม่สะดวก เขาอาจจะเปลี่ยนวิถีชีวิตจากที่เคยซื้อออนไลน์ เพราะต้องเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน พอลูกโตพอที่จะเดินไปเที่ยวด้วยกันได้ เลยพาลูกไปเลือกที่ร้านเองรึเปล่า

booksberry

เราเลยหาทำเลทำร้าน ลองดูซิว่าการที่เราเคยเป็นร้านในดวงใจ เวลาเขาอยากได้หนังสือเด็กต้องมาที่ร้านเรา พอเรามีหน้าร้านแล้ว เขาจะพาลูกมาไหม โดยเลือกทำเลที่ใกล้ทางด่วน มีที่จอดรถ แลค่าเช่าไม่แพง ก็มาได้ที่นี่บนถนนเศรษฐศิริ ปรากฏว่าพอเราทดสอบสมมติฐานที่ตั้งไว้ ผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด จริงๆ แล้วสาเหตุที่คนไม่เข้าร้านหนังสือ ไม่ใช่แค่เรื่องของความสะดวกในการเดินทาง แต่ยังมีรายละเอียดอีกหลายอย่างที่ทำให้คนไม่เข้าร้านหนังสืออิสระ 

สังเกตได้จากอะไรบ้าง  

สังเกตจากลูกค้าที่มาหน้าร้าน ถ้ามีหนังสือให้ลูก แต่ไม่มีหนังสือให้พ่อแม่ เขาจะไม่เข้า เพราะมันเป็นการมาเที่ยวของพ่อแม่และลูด้วย เขาจึงอยากไปในที่ที่เขาได้ซื้อหนังสือของเขา และมีหนังสือของลู เพราะฉะนั้น จากเดิมที่เคยขายแต่หนังสือเด็ล้วนๆ ก็เลยเริ่มทดลองอ่านหนังสือผู้ใหญ่บ้าง ลองตามเทรนด์ดูว่าเขาขายออนไลน์เรื่องอะไรกัน

booksberry

พอเราเริ่มตั้งต้นจากศูนย์ที่หนังสือผู้ใหญ่ ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าเราจะตามเขาทัน ว่าควรจะสั่งหนังสือเล่มไหนมาขาย ใช้เวลาอยู่นานปีสองปี พอทำมาได้สักพัก แล้วสังเกตผลก็พบว่า การที่เราเป็นร้านหนังสืออิสระ ไม่ได้อยู่ในห้างสรรพสินค้า ถ้าเราขายหนังสือแบบเดียวกับที่ในห้างมีขาย แล้วยิ่งเราเขียนรีวิวแลคนชอบ เขาก็ไม่มาซื้อกับเรานะ เพราะว่าเขาขับรถไปจอดที่ห้าง ได้กินอาหารด้วย ได้เที่ยวด้วย และได้หนังสือเล่มนั้นด้วย 

 การขายหนังสือไม่สามารถอยู่ได้ด้วยแรงบันดาลใจอย่างเดียวว่าฉันรักการอ่าน แต่จะต้องมีการเลือกสินค้าด้วย ไม่ใช่เลือกเฉพาะสินค้าที่ตัวเองชอบ แต่ต้องดูตลาด ดูคู่แข่ง และต้องรู้จักธรรมชาติของลูกค้า รวมถึงการรู้จุดอ่อนของตัวเอง 

การเขียนรีวิวหนังสือถือเป็นการทำงานหลักของเรา ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างเยอะ ดังนั้น ทุกครั้งของการรีวิวต้อได้รับผลตอบแทน เพราะฉะนั้น ถ้ามิ้นเลือกแต่หนังสือที่ทุกๆ ร้านมีขาย ซื้อที่ไหนก็สะดวก ร้านนี้อาจจะอยู่ไมได้ เพราะเท่ากับว่าเรารีวิวแล้วแบ่งยอดขายให้คนอื่น ไม่ได้คืนกลับมาที่ตัวเรา

booksberry

booksberry

ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จมากๆ ของปีที่แล้ว คือ การขายหนังสือ My Little Kitchen มิ้นรู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหนังสือเล่มนี้เลยว่าจะสามารถทำยอดขายให้ที่ร้านเยอะ เพราะเป็นหนังสือที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก และในตอนนั้นเริ่มไม่เห็น My Little Kitchen เล่ม 1 กับเล่ม ในตลาดแล้ว ส่วนเล่ม 3 กำลังจะออกในปีนั้น ซึ่งตัวหนังสือเองได้รางวัลประกวดการ์ตูนจากญี่ปุ่นแล้ว และเริ่มวางขายที่งานสัปดาห์หนังสือ แต่ยังไม่เข้าไปขายในระบบ มิ้นก็รอจนกระทั่งจบงานสัปดาห์หนังสือ แล้วเขียนรีวิวถึงเล่มนี้ และก็ได้ยอดขายสำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักเล่มนี้เลย หนังสือมี ปก ขายได้ปกละ 100 เล่ม ภายใน 14 วัน

booksberry

นั่นหมายความว่า ในการเลือกขายหนังสือแต่ละเล่ม เราต้องศึกษาสินค้าและประเมินผล เป็นงานที่ผสมระหว่างแรงบันดาลใจกับการวางแผนทางธุรกิจ การขายหนังสือไม่สามารถอยู่ได้ด้วยแรงบันดาลใจอย่างเดียวว่าฉันรักการอ่าน แต่จะต้องมีการเลือกสินค้าด้วย ไม่ใช่เลือกเฉพาะสินค้าที่ตัวเองชอบ แต่ต้องดูตลาด ดูคู่แข่ง และต้องรู้จักธรรมชาติของลูกค้า รวมถึงการรู้จุดอ่อนของตัวเอง เช่น ร้านเราอยู่ข้างนอกห้าง ลูกค้าไม่สะดวกเดินทางมาหาเรา ฯลฯ ประเมินแล้วถึงออกมาเป็นสิ่งที่เราขาย 

เท่ากับว่า Booksberry เป็นงานหลักของคุณเพียงงานเดียว 

ใช่ค่ะ ร้านนี้อยู่ได้ด้วยยอดขายหนังสือร้อยเปอร์เซ็นต์ เคยพยายามขายอย่างอื่นด้วยเหมือนกัน เช่น ของเล่น แต่ขายไม่ได้เลย ซึ่งมิ้นก็เพิ่งมาค้นพบเมื่อปีที่แล้ว ตอนร่วมโครงการ หนังสือเดินทางร้านหนังสือ (Book Passport) ที่เขามีเงื่อนไขให้เราถ่ายรูปร้านไปโปรโมท ทำให้มีหลายสิ่งตามมา เช่น เป็นการสอนเราทางอ้อมว่าเราควรจะประชาสัมพันธ์ร้านยังไง ควรถ่ายรูปให้คนเห็นข่าว เขาจะได้รู้ว่าเรามีหน้าร้าน ไปจนถึงการที่เราเริ่มมีน้ำชา กาแฟ มีของว่างขาย จากที่ลูกค้าไม่มาเลย เพราะกลัวว่ามาแล้วไม่มีอะไรกิน ก็เริ่มมีคนพาลูกมาที่นี่ แล้วก็กินข้าว อยู่กันนานถึงจะกลับ เริ่มมีคนเข้ามาเยอะขึ้น เพราะพอมีอาหารแล้วทำให้ลูกค้ารู้สึกสะดวกในการมาที่ร้านมากขึ้น

booksberry

ดูจากภายนอกเหมือนกับว่าทำร้านหนังสือเด็กแล้วน่าจะชิลๆ มีความสุข 

(ตอบทันที) ไม่ชิลเลยค่ะ นอนก็ดึก เพราะเวลาเราจะสั่งหนังสือจากทางเมืองนอก เช่น อเมริกา หรืออังกฤษ ก็ต้องตื่นตอนเที่ยงคืน เพื่อที่จะคุยอีเมลกับเขา ไม่ใช่ว่าฉันอีเมลวันนี้ เธออีเมลตอบกลับมาวันพรุ่งนี้ เมื่อไรจะเสร็จ ต้องคุยกันให้จบวันนั้นเลย 

ตอนนี้วงการหนังสือเด็กมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง 

ก่อนหน้านี้หนังสือภาษาอังกฤษจะขายได้ดี แต่ช่วงนี้ค่อนข้างช้าลง สาเหตุหนึ่ง คือ ช่วงหลังๆ มีการซื้อลิขสิทธิ์แปลหนังสือนิทานภาพเยอะขึ้น ทำให้ราคาขายลดลงมาค่อนข้างเยอะ อย่างหนังสือต่างประเทศที่เราซื้อกันคุณภาพดีๆ เล่มละ 500 บาท พอสำนักพิมพ์ใหม่ๆ อย่าง SandClock หรือสำนักพิมพ์นาวา ซื้อลิขสิทธิ์มาแปลและพิมพ์ขายเอง ราคาก็ลดลงมาเหลือประมาณ 300 บาท และก็เป็นหนังสือคุณภาพดีเทียบเท่าต้นฉบับ ทำให้คนที่เคยซื้อหนังสือภาษาอังกฤษอาจจะยั้งลงมานิดนึง แล้วหันมาซื้อหนังสือกลุ่มนี้แทน มีเฉพาะนักสะสมที่อ่านเยอะจริงๆ ที่จะยังตามซื้อหนังสือภาษาอังกฤษอยู่

booksberry

นอกจากนี้ สำนักพิมพ์ใหญ่ๆ อย่างอมรินทร์ หรือนานมีบุ๊คส์ ก็ไวมาก หนังสือเพิ่งจะออกมาไม่กี่ปี เขาก็ซื้อลิขสิทธิ์มาแปลแล้ว อีกแป๊บเดียวก็ได้อ่านเวอร์ชั่นภาษาไทย เพราะฉะนั้น ก่อนจะเลือกซื้อหนังสือนำเข้าในปีถัดๆ ไป ก็ต้องคหนักมากขึ้น เพราะซื้อมาไม่นานก็อาจจะมีพิมพ์เป็นภาษาไทย ราคาก็ถูกว่า พอเราสั่งหนังสือภาษาอังกฤษเข้ามาเยอะๆ ก็อาจจะขายยากในอนาคต 

แต่ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นทางรอดของวงการนี้ เพราะการซื้อลิขสิทธิ์มาพิมพ์เพื่อที่จะได้สามารถขายหนังสือในราคาที่คนไทยสะดวกซือ ก็เป็นผลดีที่ตกแก่คนอ่าน สำหรับคนที่อ่านหนังสือต่างประเทศอยู่แล้ว ชอบหนังสือคณภาพประมาณนี้ จะไม่ค่อยบ่นหรอกว่าหนัสือแพ มีแต่จะบอกว่าหนังสือราคาถูกลงด้วยซ้ำ

booksberry

เคยมีคนตั้งคำถามกับคุณไหมว่า ทำไมหนังสือเด็กถึงมีราคาแพง 

หลายคนอ้างว่าหนังสือแพงเพราะสำนักพิมพ์ได้แค่ 10% จากราคาปก ที่เหลืออีกกว่า 50% ไปตกอยู่กับสายส่งหมด ในทำนองว่าสายส่งเป็นเสือนอนกิน เขาจึงสรุปกันไปเองว่าจริงๆ แล้วหนังสือสามารถราคาถูกลงได้อีกกว่า 50% ถ้าสำนักพิมพ์ขายตรงโดยไม่ผ่านายส่ง ซึ่งจริงๆ แล้วสายส่งมีต้นทุนจากการขนส่งสินค้า ทั้งค่าน้ำมัน ค่าจ้างพนักงานทำบัญชี ฯลฯ อย่างทางร้านเองได้รับเอกสารทุกอาทิตย์ว่ามีหนังสืออะไรเข้าใหม่บ้าง แสดงว่ามีคนทำงานในส่วนนี้ มีคนนั่งถ่ายรูป แปะรูปมาให้ หรือพอเราสั่งของวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็ได้รับแล้ว การที่เขาดำเนินการจัดส่งได้รวดเร็วขนาดนี้น่าจะใช้ต้นทุนที่เยอะอยู่ ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าสายส่งได้เงิน 50% ไปเฉยๆ แต่เขาเองก็มีต้นทุนที่เสียไปเหมือนกัน

booksberry

แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางสำนักพิมพ์ก็ตั้งราคาไว้สูงจริงๆ สูงแบบไม่ดูเลยว่าในตลาดเขาขายกันอยู่เท่าไร ซึ่งมิ้นไม่รู้ว่าที่เขาขายแพงเพราะต้นทุสูงรึเปล่า หรืออาจจะพิมพ์น้อย แล้วที่ราคาถูกก็ไม่รู้ว่าถูกได้ขนาดนั้นเพราะอะไร เพราะพิมพ์เยอะรึเปล่า อย่างหนังสือต่างประเทศที่เรานำเข้ามาจากอเมริกาหรืออังกฤษ ที่เขาสามารถขายเราได้ในราคาถูกได้ เพราะพิมพ์ที่ประเทศจีน ซึ่งแต่ละสำนักพิมพ์ก็ต้องมีวิธีลดต้นทุนของตัวเอง เขาจะต้องรู้ว่าราคาที่คนซื้อสามารถจ่ายได้คือเท่าไร หน้าที่ของเขาคือ หาทางลดต้นทุนให้ตัวเองขายของได้

booksberry

จ่ายแพงกว่า แต่เนื้อหามีนิดเดียว พอเด็กๆ โตขึ้นก็เลิกอ่าน คุ้มไหมกับการซื้อหนังสือให้เด็กอ่าน 

เด็กๆ ไม่ได้อ่านหนังสือครั้งเดียวนะคะ ยิ่งเป็นเด็กเล็กยิ่งอยากให้พ่อแม่อ่านให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนเป็นการเรียนภาษาอย่างหนึ่ง เพื่อที่เขาจะได้เรียนรู้ เด็กจะอ่านหนังสือซ้ำจนถึงอายุประมาณ 7-8 ขวบ ถึงจะเลิกความต้องการที่จะอ่านซ้ำ เข้าสู่วัยที่เขาอ่านหนังสือเองได้ อาจจะอ่านครั้งเดียวหรือ 2-3  ครั้งจบ แล้วแต่ว่าเขาชอบเล่มนั้นมากแค่ไหน พอโตขึ้นก็จะอ่านหนังสือซ้ำน้อยลง 

วามสุขอีกอย่าง คือ การได้เป็นผู้เลือกหนังสือให้เด็กอ่าน ซึ่งถือเป็นส่วนที่มีความสุขที่สุดในการทำอาชีพนี้ก็ว่าได้ เหมือนเราได้ทำหน้าที่บรรณารักษ์ไปในตัว 

ส่วนเรื่องของราคาหนังสือแพงเป็นปัญหาที่สำนักพิมพ์ต้องหาทางเวิร์คว่า จะทำอย่างไรให้หนังสือมีราคาถูกลง อย่างหนังสือในโครงการ นิทานเพื่อนรัก ของแปลน ฟอร์ คิดส์ มีวิธีทำต้นทุนให้ต่ำลงด้ยการขอสปอนเซอร์โฆษณา และเลือกใช้กระดาษคนละเกรดกับนิทานที่พิมพ์ขายตามปกติ โดยใช้กระดาษที่บางกว่า เพื่อให้เด็ไทยได้อ่านหนังสือในราคาย่อมเยา เน้นการเลือกต้นฉบับดีๆ นำมาแปล แล้วพิมพ์ขาย 

นี่เป็นตัวอย่างที่แต่ละสำนักพิมพ์ควรจะมีวิธคิดว่า ทำยังไงให้หนังสือราคาถูกลง เข้าถึงคนในจำนวนที่มากขึ้นได้ด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป

booksberry

หลังจากมีหน้าร้านแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง 

สิ่งที่ได้กลับมาไม่ใช่เรื่องของตัวเงิน แต่เป็นความสุขของการได้เห็นเด็ๆ มาที่ร้าน แล้วเขามีความสุขกับการได้มานั่งอ่านหนังสือ ในขณะที่พ่อแม่บางคนก็มานั่งหลับ แล้วให้ลูกอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ ซึ่งเขาจะไปหาสถานที่แบบนี้ที่อื่นคงยาก จะมีที่ไหนที่สามารถใช้ชีวิตแบบนี้ได้ในกรุงเทพฯ จะไปนั่งในห้าง หรือในร้านกาแฟนานแบบนี้ก็คงต้องจ่ายค่าอาหาร ค่ากาแฟไปเรื่อยๆ แถมยังต้องรีบลุกให้ลูกค้าอื่นๆ ได้นั่งบ้างด้วยความเกรงใจอีก

booksberry

มีคนสมัครสมาชิกห้องสมุดมากน้อยแค่ไหน 

ไม่เยอะค่ะ และเมื่อหมดสัญญาเช่าที่นี่ มิ้นก็จะไม่เปิดร้านในลักษณะของร้านในฝันแบบนี้ต่อแล้ว เพราะเราต้องทำธุรกิจ การเปิดร้านหนังสือเป็นเพียงช่วงเวลาที่เรากับลูกค้าได้มีความสุขร่วมกันจนกว่าจะถึงวันหมดอายุสัญญา แล้วเราก็จะกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงกันต่อ ตอนนี้จึงต้องใช้ศักยภาพของร้านให้คุ้มที่สุด ใครอยากมาอ่านหนังสือก็มาอ่าน ใครอยากมาพักก็มาพัก ใครอยากตื่นเช้าวันเสาร์อาทิตย์แล้วได้ฟังเสียงนกร้อง หรือดึกๆ ก็พาลูกลงมานั่งอ่านหนังสือข้างล่าง เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้ใช้ชีวิตในร้านหนังสือที่สะอาดสวยงามก็มาได้เลยค่ะ มาก่อนที่มิ้นจะหมดสัญญาเช่าในเดือนเมษายนปี 2564 นี้

booksberry

booksberry

หลังจากนั้นมิ้นก็ต้องเข้าสู่กระบวนการเลอกทำเลร้านใหม่ ที่เสียค่าเช่าในราคาที่คุ้มค่ากับผลตอบแทน ทุกวันนี้สิ่งที่บั่นทอนกำลังใจที่สุดในการทำงานคือ ค่าเช่าร้าน เพราะตลอด ปีนี้ มิ้นจ่ายค่าเช่าร้านกับค่าปรับปรุงร้านไปเกือบ ล้านบาทแล้ว เป็นจำนวนเงินที่มิ้นสามารถพาลูกๆ ไปเที่ยวต่างประเทศได้ ซึ่งบ้านเราชอบเที่ยว ดังนั้น แทนที่มิ้นจะได้พาลูกไปเที่ยว ไปกิน ไปทำอะไรสนุกๆ กลับต้องมาทำเหมือนงานการกุศลแบบนี้ จึงบั่นทอนจิตใจพอสมควร 

เพราะมิ้นอุตส่าห์เปิดร้าน แต่ไม่มีใครมาเสวยสุข ไม่มีใครมาอ่านหนังสือ ไม่มีใครมาใช้ร้าน เราลงทุนไปแม้แต่จะให้ใครสกคนมานั่งอ่านหนังสืออย่างแฮปปี้ เขายังไม่มาเลย เพราะเขากลัวว่าเขามาแล้วจะต้องซืหนังสือ เลยกลายเป็นว่าฉันอยู่กับครอบครัว อ่นหนังสือ ดูนกไปวันๆ คือ มิ้นไม่ได้เจ็บตัวมากนะคะ เพราะว่าทุกเดือนขายได้กำไร แค่เสียดายเฉยๆ

booksberry

เลยเป็นเหตุผลที่คุณแบ่งส่วนหนึ่งของร้านเป็นห้องสมุดให้คนมาอ่านหนังสือได้ตามสบาย 

ใช่ค่ะ ไหนๆ มาแล้วก็อ่านไปเลย ครั้งรกฟรี หลังจากนั้นเก็บรายครั้ง ครั้งละ 50 บาท หรือจะจ่ายปีละ 500 บาทก็ได้ ถ้าเราไม่ตั้งกฎตรงนี้ไว้ อีกหน่อยถ้าเราทำห้องสมุด อาจจะมีใครอ้างอิงจากอดีตได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะทำอะไร ต้องเผื่ออนาคตไว้ด้วย 

แปลว่าจริงๆ แล้ว คุณฝันอยากทำห้องสมุด 

ในอนาคต มิ้นคงเน้นไปที่การทำห้องสมุดมากกว่า เพราะอยากให้คนได้อ่านหนังสือที่ดีๆ อยากเปิดโอกาสให้พ่อแม่ที่ไม่สามารถซื้อหนังสือให้ลูกได้ อาจจะเพราะมีรายได้น้อย ได้มาใช้บริการ และมิ้นอยากแนะนำหนังสือดีที่หาซื้อในตลาดไม่ได้แล้วให้เด็ๆ ได้อ่าน

booksberry

วามสุขอีกอย่าง คือ การได้เป็นผู้เลือกหนังสือให้เด็อ่าน ซึ่งถือเป็นส่วนที่มีความสุขที่สุดในการทำอาชีพนี้ก็ว่าได้ เหมือนเราได้ทำหน้าที่บรรณารักษ์ไปในตัว เวลามีคนมาปรึกษาว่าลูกไม่ชอบอ่านหนังสือ ลูกอายุกี่ขวบ ชอบอะไร อ่านได้ประมาณไหน ฯลฯ แล้วเราได้เลือกหนังสือที่เหมาะสมให้กับเขา มิ้นจะมีความสุขที่สุด

booksberry

  • Booksberry เลขที่ 30/4 ซอยสันทัด ถนนเศรษฐศิริ เขตดุสิต กรุงเทพฯ facebook.com/Booksberryshop