life

หมอยิ้ม แสดงความยินดีกับผม อนุญาตให้ผมหยุดยา บอกผมว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดว่าผมอยากละทิ้งชีวิต…

 

1.

ผมเล่าเรื่องนี้ให้ตัวเองฟังได้ไม่รู้จบ ด้วยมุมกล้องที่ต่างจากเดิมเล็กน้อย ด้วยรายละเอียดยิบย่อยที่บางครั้งก็หลงลืมไป ด้วยความทรงจำขาดๆ หายๆ ที่บางคราวก็ผุดขึ้นให้เห็นเด่นชัดเบื้องหน้า ด้วยน้ำเสียงหลากอารมณ์ ขึ้นอยู่กับว่าระหว่างทางของการย้อนนึกถึงอุบัติเหตุที่เคยเกิดขึ้น ผมกำลังอยู่ในภาวะใด

เช้าของวันที่ 22 เมษายน 2018 ผมลืมตาตื่นอย่างเป็นปกติ ยกกล้องโทรศัพท์มือถือขึ้นถ่ายภาพทิวทัศน์จากหน้าต่างห้องพักที่เมืองเลห์ แคว้นลาดักห์ รัฐจัมมูและแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย ก่อนจะขับรถจักรยานยนต์ที่เช่ามาออกไปข้างนอก โดยไม่คาดคิดว่าภาพนั้นจะเป็นภาพสุดท้ายที่ผมได้ถ่ายในประเทศอินเดีย ดินแดนที่ผมใช้ชีวิตมาเกือบหนึ่งปี

เช้าอากาศสดใสของวันที่ 22 เมษายน 2018 ผมประสบอุบัติเหตุทางถนนค่อนข้างรุนแรง ความทรงจำบางส่วนสูญหายไปชั่วขณะ หลายสิ่งหลายอย่างร่วงหล่น แผนการและความหวังที่เคยตั้งไว้แตกหัก โดนทิ้งไว้บนถนนลาดยางของเมืองบนเทือกเขาที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 11,000 ฟุต 

อย่างย่นย่อ ผมต้องเดินทางกลับไทยโดยด่วนเพื่อมารักษาตัว ไม่มีแม้โอกาสได้กลับไปกล่าวคำลาต่อสถานที่ที่ตัวเองเรียกว่า ‘บ้าน’ ได้เต็มปากเต็มคำอย่าง ดาร์จีลิง เมืองบนหุบเขาอีกแห่งในอินเดีย ที่ผมอาศัยอยู่เป็นหลักมาตั้งแต่กลางปี 2017 

บางอย่างร่วงหล่น บางสิ่งต้องใช้ทั้งเงินและเวลาเพื่อเยียวยา ผลกระทบตามมาเป็นลูกโซ่ โลกข้างหน้ามองเห็นได้ไม่ชัด อนาคตพุ่งพรวดมาให้เห็นปุบปับรวดเร็วเกินไปจนรับมือไม่ทัน

ทว่าผมก็พยายามอย่างยิ่งที่จะใช้ชีวิตราวเป็นปกติ ปล่อยให้โลกที่คล้ายถล่มทลายไปวันนั้นค่อยๆ ถูกเยียวยา แต่แล้วอยู่ๆ คล้ายคนความรู้สึกช้า ภาพของอุบัติเหตุก็ย้อนกลับมาเล่นซ้ำในหัววันแล้ววันเล่า 

 

2.

คล้ายอุบัติเหตุครั้งนั้นอุบัติซ้ำชั่วนิรันดร์ ผมเพิ่งตระหนักได้ว่าภายใต้ความปกติ บางส่วนเสี้ยวในชีวิต ผมกลับดำเนินไปอย่างคนละเมอ

รักษาบาดแผลภายนอกจนเกือบหาย ผมกลับไปทำงานประจำ ใช้ชีวิตเคลือบทับด้วยฉากหน้าของความปกติ ทว่าภายในรุ่มร้อนเป็นไฟโดยไม่ทราบสาเหตุ เริ่มต้นจากอารมณ์ไม่สเถียรคงที่ ผมหงุดหงิดง่าย เบื่อหน่ายกับทุกสิ่ง อึดอัดเศร้าสร้อยตลอดเวลา แต่ไม่สามารถกลั่นออกมาเป็นน้ำตาสักหยดหนึ่งได้ อาการนอนไม่หลับหลายคืนติดต่อกันเกิดขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ใจหวิวเป็นพักๆ ด่ำดิ่งคล้ายคนกำลังพลัดตกจากหน้าผา ลอยคว้างกรีดร้องเงียบงันอยู่ภายใน โดยไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกระแทกก้นเหวเสียที

ภาพฉายซ้ำในหัวเกือบทุกคืนนานนับปี ผมเล่าเรื่องนี้ให้ตัวเองฟังได้ไม่รู้จบ ด้วยมุมกล้องที่ต่างจากเดิมเล็กน้อย ด้วยรายละเอียดยิบย่อยที่บางครั้งก็หลงลืมไป ด้วยความทรงจำขาดๆ หายๆ ที่บางคราวก็ผุดขึ้นให้เห็นเด่นชัดเบื้องหน้า ด้วยน้ำเสียงหลากอารมณ์ เศร้าซึม เคียดแค้นตัวเอง รู้สึกผิดและทรมานกับผลกระทบของมันที่มีต่อคนอื่น หรือกระทั่งทำใจปล่อยวาง ทว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมไม่เจ็บปวด

และขั้นกว่าของความเจ็บปวดเมื่อถึงจุดหนึ่ง มันกลับไม่ได้เพิ่มระดับเป็นความรวดร้าวในระดับที่สูงขึ้น แต่กลับกลายเป็นความเฉยชาสิ้นยินดี และผมจะสารภาพตรงนี้ว่า ณ วันนั้น ผมไม่อยากมีชีวิต

นั่นเองที่ผมตัดสินใจไปพบแพทย์ ถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรค Major depressive disorder หรือซึมเศร้า ก่อนระหว่างกระบวนการกินยาและรักษายาวนาน จะพบอาการของ panic attack และ Bipolar disorder แทรกซ้อนอยู่ด้วย

แม้มันไม่ได้กระทบการงานมากนัก ผมยังกอบเก็บเศษเสี้ยวแตกหักขึ้นมาเป็นรูปร่าง ใช้ชีวิตไปตามมาตรฐานที่ควรเป็น แต่ผมรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการพยายามทำตัวให้ปกติ และรู้สึกผิดสาหัส ต่ออารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ที่ส่งผลต่อทั้งคนรอบข้างและตัวเอง รู้สึกผิดที่ไม่อยากมีชีวิต ทั้งๆ ที่มีโอกาสรอดกลับมามีชีวิตได้ อยากรีบๆ หาย เพื่อจะไม่ให้ใครว่าได้ว่าสุดท้ายผมก็ใช้ความป่วยไข้มาเป็นข้ออ้าง

ผมถามหมอตั้งแต่ครั้งแรกว่าต้องใช้เวลารักษายาวนานเท่าใด และถามย้ำหลังจากนั้นอีกหลายครั้งว่าเมื่อไรผมจะหาย ผมยื้อยุดกับสภาวะนี้อยู่นาน และอย่างที่เคยเขียนเล่าไปบ้างแล้วในบทบรรณาธิการ ในพื้นที่ของ editor’s dose ของ becommon สิ้นเดือนตุลาคมปลายปี 2019 ผมจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อออกเดินทางอีกครั้ง 

 

3.

ผมเล่าเรื่องนี้ให้ตัวเองฟังได้ไม่รู้จบ แต่ผมก็ไม่ใช่นักเล่าเรื่อง บรรณาธิการ หรือนักเขียนที่ดีนัก เพราะท้ายที่สุด ผมก็ไม่สามารถหาบทสรุปให้เรื่องเล่าเรื่องนี้ได้

ชีวิตไม่เหมือนในหนังที่การเดินทางจะทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย มีบทเรียนติดค้างตกผลึกให้เราได้ทบทวน

แต่อย่างน้อยที่สุด ทุกวันนี้ ผมก็ดีขึ้นแล้ว อารมณ์สเถียรขึ้น ไม่จำเป็นต้องกินยาเพื่อรักษาโรค หรือเพื่อทำให้ตัวเองนอนหลับอีกต่อไป การเดินทางไกล สะสมระยะทางทั้งภายนอก นับกิโลเมตรเป็นตัวเลข หรือระยะทางภายในไร้จำนวนนับ ก่อเป็นพลังงานรูปแบบใหม่ให้ยังพอมีชีวิตต่อไปวันต่อวัน

ผมเดินทางกลับไทยอีกครั้งในช่วงโควิด-19 ระบาด กลับไปหาหมอ หลังห่างหายจากโรงพยาบาลที่เคยต้องไปทุกสองสัปดาห์เกือบหนึ่งปี บอกกับหมอว่าผมดีขึ้น และผมไม่ได้อยากตายอีกต่อไป

หมอยิ้ม แสดงความยินดีกับผม อนุญาตให้ผมหยุดยา บอกผมว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดว่าผมอยากละทิ้งชีวิต

แต่สิ่งที่ผมไม่ได้บอกหมอก็คือ อุบัติเหตุครั้งนั้นยังคงอุบัติซ้ำ ผลกระทบที่ตามมาเป็นลูกโซ่ยังหลอกหลอน จนบางครั้งภาวะสิ้นหวังหมดแรงก็หวนคืน ความรู้สึกไม่อยากมีชีวิตอาจย้อนกลับมาอุบัติซ้ำใหม่เมื่อไรก็ได้ ผมจึงไม่แน่ใจว่าจะกล้าใช้คำว่า ‘หายดี’ กับตัวเองในตลอดชั่วชีวิตนี้ได้อีกต่อไป

ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ไม่ได้พูดออกไปหมอรู้อยู่แล้วอีกหรือไม่ แต่นอกจากอุบัติเหตุ หัวใจหมดเรี่ยวแรงที่หมุนวนมาเยือนบ่อยครั้ง อย่างน้อยตอนนี้ ผมก็มองเห็นพลังงานและความหวังที่อุบัติซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ในวงจรนั้นด้วย

 

4.

ทุกคนมีบาดแผล มีเรื่องหนักหนาสาหัสที่กกเก็บเอาไว้ อยากขจัดมันออกแต่ก็ทำไม่ได้ และผมเดาเอาว่าสิ่งที่ทำให้ผมจมดิ่งมองไม่เห็นความงามใดๆ ก็คือ การรีบเร่ง คำนวณเวลา มองหาจุดจบของความไม่ปกตินี้ เพื่อจะได้กลับไปใช้ชีวิตปกติดังเดิม โดยหลงลืมไปว่า ความปกติดังเดิมนั้นไม่เคยมี สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจะดำรงอยู่เช่นนั้น ไม่อาจแก้ไข เวลาเคลื่อนไปข้างหน้า สู่ทั้งความปกติและไม่ปกติใหม่ๆ อยู่เสมอ

เราหลายคนอาจต่างมีอุบัติเหตุอุบัติซ้ำเป็นนิรันดร์ของตัวเอง—แผลเป็นที่ดูเหมือนหายสนิท แต่สามารถกลัดหนองปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาใหม่เมื่อไรก็ได้

และบางคราว สิ่งที่ทำได้มากที่สุดคือการเล่ามันออกมา ยอมรับความอ่อนแอและทำความรู้จักกับความไม่ปกติของตัวเอง โดยหวังว่ามันจะหมักบ่มเป็นตัวยาในการรักษาหัวใจที่พังทลาย

แม้จะใช้ระยะเวลายาวนานเพียงใด

แต่ทั้งหมดของชีวิตก็ไม่ได้คงอยู่ตลอดกาล

ระยะเวลาในการรักษา ไม่อาจคำนวณออกมาเป็นตัวเลขก็จริง แต่เลวร้ายที่สุด มันก็ไม่ใช่ชั่วนิรันดร์ และพูดอย่างเล่นคำ ก็อาจต้องบอกว่า มันก็แค่…ชั่วชีวิต

ชีวิตนั้นบางทีไม่ใช่เพื่ออนาคต แต่เพื่อที่ในท้ายที่สุด ห้วงเวลาปัจจุบันจะกลายเป็นอดีตของอนาคตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเลือดเนื้อ ไม่ว่ามันจะสวยสดหรืออัปลักษณ์ เพื่อจะได้เล่าให้ตัวเองฟังได้อย่างไม่รู้จบ