pe©ple

นอกจาก Plastic Love ที่กลับมาโด่งดังอีกครั้ง จนปลุกกระแสให้คนทั่วโลกหันมาสนใจฟังเพลงแนว city pop ของศิลปินญี่ปุ่น ยังมีอีกหนึ่งเพลงที่ดังตามกันมาติดๆ จะเรียกว่าดังได้เพราะ Plastic Love ก็ไม่ผิด นั่นคือเพลง Stay With Me ของ มิกิ มะสึบะระ

โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok ที่เกิดเป็นเทรนด์สร้างคลิปสั้นในหมู่วัยรุ่นญี่ปุ่นเอาไว้ชาเลนจ์กัน เริ่มจากเปิดท่อนฮุกของเพลง Stay With Me ให้แม่ฟัง แล้วจับสังเกตว่า แม่ของพวกเขารู้จักเพลงนี้หรือไม่ ผลลัพธ์ที่ได้ล้วนเป็นไปตามความคาดหมายเหมือนกับข้อความที่ปรากฏบนคลิปทำนองว่า “They said all Japanese moms know this song.” หรือ “They said Japanese women from the 80’s know this song.”

@arisa.teoshe didn’t have to go that hard 😭🤣 ##japanese ##japan ##fyp ##asian ##おすすめ♬ 真夜中のドア/Stay With Me – Miki Matsubara

บรรดาแม่ๆ ต่างจดจำเพลง Stay With Me ได้ทันที บางคนร้องตาม บางคนออกท่าทาง หรือต่อให้ไม่ได้ร้องออกมา ก็มักจะผงกหัว พยักหน้า แล้วอมยิ้ม คล้ายกับส่งสัญญาณให้ลูกรู้ว่า นี่แหละเพลงเก่าสมัยแม่ยังสาว

แม้ไม่ใช่คนญี่ปุ่น ก็ยังรู้สึกสนุกไปกับเพลง Stay With Me ได้ไม่ยาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะท่อนร้องภาษาอังกฤษที่ฟังแล้วติดหูตั้งแต่ได้ยินครั้งแรก วัยรุ่นตะวันตกจำนวนมาก จึงหันมาสร้างคลิปเลียนแบบเช่นเดียวกัน ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่รู้จักเพลงนี้มาก่อนเลย ไม่นานหลังจากนั้น Stay With Me ก็กลายเป็นเพลงยอดนิยมที่ผู้ใช้ TikTok เลือกเอามาประกอบคลิปสั้นของตน

ขณะเดียวกัน ความสำเร็จระดับปรากฏการณ์ของเพลง Stay With Me ที่กลับมาดังได้อีกครั้ง ก็ชวนให้คิดย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นและตลอดเส้นทางความเป็นมาทั้งของบทเพลงและตัวศิลปินเจ้าของเสียงก้องใสที่ทำให้คนทั่วโลกรู้สึกหลงใหล

แต่เมื่อค้นหาข้อมูลเบื้องหลัง กลับต้องพบกับความจริงอันน่าเจ็บปวดที่ทำให้ใจหายและใจสลายพร้อมกัน เพราะเรื่องราวของเพลง Stay With Me และมิกิ อาจทำให้ใครบางคนรู้สึกเสียดายและเสียใจไปบ้าง หวังเป็นเพียงเศษเสี้ยวความรู้สึกเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความสุขและความสนุกของเพลงนี้ยังคงอยู่เหมือนชื่อเพลงและความตั้งใจของมิกิ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม

 

ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น

มิกิ มะสึบะระ (Miki Matsubara) เกิดและเติบโตในจังหวัดโอซากะ ครอบครัวของมิกิเป็นครอบครัวขนาดเล็กที่เพียบพร้อมและอบอุ่น ประกอบด้วยสมาชิก 4 คน คือ พ่อ แม่ ตัวเธอ และน้องสาว

พ่อของเธอเป็นผู้บริหารโรงพยาบาล ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน แต่ก็ยังรับร้องเพลงบ้างประปราย เพราะก่อนหน้าตอนที่ยังไม่มีลูก แม่ของเธอเป็นนักร้องอาชีพเต็มเวลา และเป็นสมาชิกประจำวง クレージーキャッツ (Crazy Cat) หรือคณะจำอวดในรูปแบบวงดนตรีแจ๊ส คือเล่นดนตรีไปพลาง ตบมุกตลกไปพลาง ถือเป็นวงที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมสูงสุดช่วงยุค 1950 ถึง 1970 เพราะเป็นความบันเทิงที่คนญี่ปุ่นเฝ้าดูผ่านจอโทรทัศน์ขาวดำ ภายหลังแม่ของเธอยังรับหน้าที่เป็นนักร้องรับเชิญ หากมีเวลาว่างตรงกับวง

ตั้งแต่จำความได้ เสียงและภาพความเป็นร้องดนตรีแจ๊สของแม่อยู่ในสายตาของมิกิมาตลอด เป็นไปได้ว่าตัวเธอก็ซึมซับความสามารถด้านดนตรีและการขับร้องมาจากแม่ของเธอโดยตรง แถมพ่อและแม่ก็สนับสนุนให้มิกิเริ่มเล่นเปียโนครั้งแรกตอนอายุได้ 3 ขวบ ซึ่งเธอทำได้ดีและโดดเด่นเสมอ ราวกับว่าเธอคือลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น ดนตรีจึงเป็นสิ่งที่เธอรักมากที่สุด

จนกระทั่งถึงวัยมัธยมต้น มิกิหันมาชอบเพลงร็อก เธอจึงเปลี่ยนแนวดนตรีจากแจ๊สและคลาสสิกเป็นร็อกเต็มตัว โดยเข้าร่วมเป็นสมาชิกของวง Kurei (คุเระอิ) ตำแหน่งมือคีย์บอร์ด เมื่อเข้าสู่วัยมัธยมปลาย มิกิยังคงแน่วแน่บนเส้นทางดนตรีร็อกเหมือนเดิม เธอจริงจังถึงขนาดเริ่มเดินสายแสดงสดกับเพื่อนในนาม Yoshinoya Band (วงโยะชิโนะยะ) ตามคลับและไลฟ์เฮาส์ที่เกียวโต

 

สู้ตามฝันในเมืองใหญ่

มิกิไม่ได้เอาดีแค่ด้านดนตรีอย่างเดียว แต่ในหมู่เพื่อนๆ เป็นที่รู้กันว่าเธอคือนักเรียนระดับหัวกะทิ ความเก่งของมิกิทำให้เพื่อนทุกคนคิดว่า เธอคงเล่นดนตรีเป็นกิจกรรมแก้เบื่อ เพราะทางที่ควรจะเป็นสำหรับเธอคือเรียนต่อมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ จบออกมาได้ทำงานดีๆ เป็นคนประสบความสำเร็จ มีอนาคตรุ่งโรจน์ แต่ทุกคนคิดผิด

Photo: https://www.facebook.com/MikiMatsubara19592004restinpeace/photos/648789905798058

มิกิไม่เคยมองเห็นตัวเองในแบบนั้นเลย เพราะลึกๆ แล้วเธอฝันอยากเป็นนักร้องเหมือนกับแม่ จึงเลือกเดินบนเส้นทางสายดนตรีและพยายามทำความฝันให้เป็นความจริง มิกิในวัยเพียง 17 ปี จึงตัดสินใจเดินทางเข้าเมืองใหญ่อย่างโตเกียวด้วยตัวคนเดียว เธอตั้งธงว่าจะมาสู้ตามความฝันหวังเป็นนักร้องอาชีพที่มีชื่อเสียงให้ได้

แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย มิกิเริ่มต้นเป็นนักร้องรับจ้างตามไนต์คลับและบาร์ในย่านรปปงงิ (Roppongi) ควบคู่ไปกับทำงานพาร์ตไทม์ เธอหาเลี้ยงตัวเองโดยไม่ละทิ้งความฝันนานถึง 2 ปีเต็ม จนเสียงของเธอดันไปเข้าหู เสะระ ยุซุรุ (Sera Yuzuru) เขาเป็นนักเปียโนที่แนะนำให้ค่ายเพลงรู้จักกับมิกิ เปิดโอกาสให้ฝันของเธอเป็นจริง

 

Stay With Me…

ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1979 มิกิได้เป็นนักร้องอย่างที่หวังด้วยอายุแค่ 19 ปี ผลงานแรกที่ค่ายเพลงใช้เปิดตัวเธอฐานะศิลปินเดี่ยว คือ 真夜中のドア~Stay With Me เป็นชื่อเพลงภาษาญี่ปุ่นเต็มๆ ของ Stay With Me หมายถึง ประตูตอนเที่ยงคืน เพราะเนื้อหาใจความหลักของเพลงนี้บอกเล่าความสัมพันธ์ที่เพิ่งเลิกราและจบลงไป

Photo: Courtesy of See・Saw Label

ฝ่ายหนึ่งยังคิดถึงช่วงเวลาที่มีกันและกัน แต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า ตัดพ้อและเคาะประตูบ้านของอีกฝ่ายช่วงกลางดึกตอนเที่ยงคืน อ้อนวอนหวังว่าให้ใจอ่อนกลับมารักกันอีกครั้ง อย่างที่ฝ่ายตามง้อยังรักและจดจำช่วงเวลาดีๆ ที่อยู่ด้วยกันได้ไม่เคยลืม

Stay with me…
อยู่กับฉันเถอะนะ

真夜中のドアをたたき
ฉันเคาะประตูตอนเที่ยงคืน

帰らないでと泣いた
ร้องไห้ฟูมฟายไม่ยอมกลับบ้าน

あの季節が 今 目の前
ภาพความหลังของเรา ตอนนี้อยู่ตรงหน้าของฉันแล้ว

หลังจากเปิดตัวเป็นศิลปินหน้าใหม่ ไม่นานเพลง Stay With Me ก็ติดอันดับที่ 28 ของ Oricon Charts และมียอดขายรวมทั่วประเทศมากกว่า 3 แสนก๊อบปี้ เพราะได้รับเสียงตอบรับที่ดีทั้งจากผู้ฟังและคนในแวดวงดนตรี ถึงขนาดมีศิลปินดังคนอื่นๆ อย่าง อะกินะ นะกะโมะริ (Akina Nakamori) นำเพลงนี้ไปร้องตามสไตล์ของตัวเอง

แต่เพลงที่สร้างชื่อและเปลี่ยนชีวิตของมิกิให้เป็นคนดังของวงการบันเทิงญี่ปุ่น คือเพลง ニートな午後3時 ในปี 1981 กลายเป็นว่าเธอมีผลงานอื่นๆ นอกเหนือจากงานดนตรีตามมามากมาย ทั้งถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา ออกรายการวาไรตี้ เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์เครื่องสำอาง และได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม

 

ผันตัวเป็นคนเบื้องหลัง

มิกิไม่ได้เป็นแค่นักร้อง แต่เป็นศิลปินครบเครื่องที่หาตัวจับยากคนหนึ่งเพราะมีพื้นฐานความเข้าใจธรรมชาติของดนตรีและเสียงเพลงที่ไม่เป็นสองรองใคร ทำให้เธอเขียนเนื้อเพลง และทำเพลงได้ มิกิจึงตั้งวงดนตรีของตัวเองขึ้นในชื่อ Dr.Woo ก่อนจะแต่งงานกับ มะสะกิ โฮนโจ (Masaki Honjo) ทันตแพทย์หนุ่มที่เข้ามาร่วมวงในตำแหน่งมือกลอง

Photo: https://www.facebook.com/MikiMatsubara19592004restinpeace/photos/a.266231954053857/706129536730761

ชื่อเสียงของเธอไม่ได้อยู่แค่ในประเทศญี่ปุ่น แต่ดังไปไกลถึงแวดวงแจ๊สในสหรัฐอเมริกา มิกิบินลัดฟ้าไปร่วมแสดงดนตรีกับวง Dr. Strut ที่ลอสแอนเจลิส ทุกคนเล่นเข้ากันได้ดีจนมิกิเชื้อเชิญให้วงมาเล่นดนตรีให้ในอัลบั้ม Cupid และ Myself ของเธอ รวมถึงเดินสายแสดงคอนเสิร์ตในโอซะกะและโตเกียวด้วยกัน

อีกหนึ่งผลงานที่สร้างชื่อให้มิกิเป็นที่จดจำมากขึ้น คือ ร้องเพลงประกอบอนิเมะเรื่องดังอย่าง Dirty Pair: Project Eden (1986) และ Mobile Suit Gundam 0083: Stardust Memory (1991) มีทั้งร้องเอง ร่วมร้อง และนำเพลงที่เคยร้องไว้แล้วไปประกอบ นอกจากนี้เธอยังคิดชื่อแฝงเอาไว้ใช้เวลาร้องเพลงประกอบอนิเมะเรื่อง Gu Gu Ganmo (1984-1985) โดยเฉพาะว่า ซูซี่ มะสึบะระ (Suzie Matsubara)

ถึงแม้หน้าที่การงานในวงการกำลังไปได้สวย แต่ด้วยนิสัยรักความสงบและความเป็นส่วนตัว ไม่ชอบเป็นจุดสนใจของใครสักเท่าไหร่ เธอจึงผันตัวจากศิลปินเบื้องหน้ามาเป็นคนทำเพลงเบื้องหลังแทน มิกิออกอัลบั้มสุดท้ายในปี 1988 ซึ่งมีชื่อว่า WiNK และออกซิงเกิ้ลสุดท้ายในปีเดียวกัน คือ In the Room

Photo: Courtesy of Victor Label

หลังจากนั้น มิกิก็ไม่ค่อยได้ปรากฏตัวให้เห็นบนสื่ออีก เธอเป็นโปรดิวเซอร์เต็มตัว ทำเพลงโฆษณา เรียบเรียงเสียงประสาน และแต่งเพลงให้ศิลปินคนอื่นร้อง ภาพความเป็นนักร้องจึงค่อยๆ เลือนหายไป

 

จุดเปลี่ยนของชีวิต

ทุกอย่างดำเนินไปเป็นปกติ เวลาล่วงเลยผ่านนานนับสิบปี จนปลายปี 2000 ได้เกิดเรื่องช็อกวงการ เมื่อทุกคนที่ร่วมทำงานกับมิกิได้รับอีเมลฉบับหนึ่งจากเธอ มีเพียงข้อความสั้นๆ เขียนไว้ว่า ตัวเธอไม่อาจทำงานดนตรีได้อีกต่อไปแล้ว โดยไม่บอกรายละเอียดอื่นใดให้รู้ถึงสาเหตุที่แน่ชัด หลายคนพยายามติดต่อมิกิทันทีหลังอ่านข้อความจบแต่ไร้ผล เพราะเธอตัดขาดทุกการติดต่อ

สิ่งที่เธอทำสร้างความสับสนและสงสัยให้ทุกคนคิดไปต่างๆ นานาว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ แต่หนึ่งปีต่อมา มิกิได้ออกมาเปิดเผยให้ทุกคนรู้เหตุผลที่แท้จริง

มิกิหายไปรักษาตัว เพราะหมอแจ้งข่าวร้ายว่าเธอเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย หมอยังประเมินด้วยว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ 3 เดือน วินาทีนั้นโลกของมิกิแทบแตกสลาย เธอเสียใจและเศร้าอย่างบอกไม่ถูก จึงตัดสินใจส่งอีเมลถึงทุกคน แต่มิกิไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เธอต่อสู้กับโรคร้ายทุกวิถีทางเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อให้ได้นานที่สุด แล้วเธอก็ทำได้อย่างที่ตั้งใจ

Photo: https://www.zakzak.co.jp/ent/news/201223/enn2012230005-n1.html

วันที่ 7 ตุลาคม 2004 มิกิในวัยเพียง 44 ปีจากโลกนี้ไปด้วยภาวะแทรกซ้อน เธอได้รับกำลังใจที่ดีจากครอบครัวและคนรอบตัวที่รักเธอ ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 4 ปี ส่วนข่าวการจากไปของมิกิ ได้รับการเปิดเผยจากคนในครอบครัวหลังจากเธอเสียชีวิตไปแล้ว 2 เดือน

แม้กระแสความนิยมแนวเพลง city pop จะทำได้แค่นำชื่อและเพลงแรกของมิกิกลับดังได้มาอีกครั้ง แต่ชีวิตที่สูญเสียไปแล้วของเธอ เป็นแค่ความสูญสิ้นของลมหายใจเท่านั้น เพราะเสียงร้องที่เป็นจิตวิญญาณของมิกิยังคงถูกส่งต่อมายังผู้ฟังรุ่นใหม่ ทุกคนต่างสนุกและมีความสุขกับเพลง Stay With Me

Stay with me…
อยู่กับฉันเถอะนะ

口ぐせを言いながら
คำพูดติดปากที่มักจะกล่าวออกมา

二人の瞬間を抱いて
ฉันจะโอบกอดช่วงเวลาที่เรามีเรา

まだ忘れず 大事にしていた
และจะรักษาเอาไว้ไม่มีวันลืม

ถ้ามิกิยังอยู่ คงอมยิ้ม ร้องเพลงแรกของตัวเอง พร้อมกับออกท่าทางเหมือนที่เธอเคยทำในวันวาน ไม่ต่างจากบรรดาแม่ๆ ในคลิปสั้นบน TikTok

 

อ้างอิง