life

ไม่ผิด ถ้าความเศร้าทำให้เราเสียใจจนเสียน้ำตา เพราะไม่มีใครสักคนเดียวจะคงความหนักแน่นของใจไว้ได้ตลอดเวลา

เมื่อถึงคราวที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาหรือเรื่องราวอื่นใดในชีวิตที่เข้ามาบีบคั้นความรู้สึกให้เจ็บปวดจนยากที่จะทำใจให้ยอมรับ เราย่อมรู้ตัวเองทันทีว่า แม้ภายนอกจะแสดงออกเป็นความเข้มแข็งและมั่นคงมากแค่ไหน ก็ไม่อาจปิดบังความเปราะบางและอ่อนไหวง่ายของใจที่อยู่ภายในได้ เพราะทุกคนต่างมีทั้งมุมแข็งแกร่งและอ่อนแอ ทุกอารมณ์และความรู้สึกที่เราสัมผัสหรือรับรู้จึงเป็นความปกติที่เกิดขึ้นได้ในทุกช่วงเวลาของชีวิต

แต่บางคนกลับเลือกปกปิดตัวตนที่เป็น เสแสร้งแกล้งว่าแข็งแรง และปฏิเสธทุกความรู้สึกที่ทำให้เขากลายเป็นคนอ่อนแอในสายตาผู้อื่น เพราะต้องการถือมั่นชีวิตที่สมบูรณ์แบบเอาไว้ จากความคิดยึดติดทำนองว่า ความอ่อนแอหมายถึงความล้มเหลว ก่อนจะรู้สึกตัวภายหลังว่าสิ่งต่างๆ ที่ทำไปทั้งหมดนั้นไม่ต่างกับการฝืนธรรมชาติของตัวเอง เพราะแท้จริงแล้วไม่มีใครสมบูรณ์แบบและเพียบพร้อมไปเสียทุกเรื่อง

ในทางตรงกันข้าม หากเราให้โอกาสตัวเองได้ทบทวนชีวิตเพื่อทำความเข้าใจว่า ความอ่อนแอไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ และความเข้มแข็งก็ไม่ใช้ทุกอย่างของชีวิต แต่การหาจุดกึ่งกลางระหว่างสองสิ่งนี้ โดยอนุญาตให้ตัวเองรู้สึกตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างซื่อตรง ไม่กลบเกลื่อนหรือปิดบังบางความรู้สึกไว้ จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปซึ่งต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เบรเน บราวน์ (Brené Brown) นักวิจัยด้านสังคมสงเคราะห์ชาวอเมริกันยืนยันความจริงนี้ ผ่านประสบการณ์การทำงานและผลการวิจัยที่เธอใช้เวลาศึกษาถึงหกปีเต็ม

บราวน์พบว่าความพยายามกีดกันความเปราะบางทางใจที่ทำให้ดูเป็นคนอ่อนแอนั้นไม่ช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้น แต่การยอมรับว่าไม่มีใครเข้มแข็งได้ตลอดไป และปล่อยใจของตัวเองให้รู้สึกถึงความเปราะบางต่างหาก จะช่วยให้ทุกคนเข้าถึงความเป็นมนุษย์ และเชื่อมสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้อย่างเห็นอกเห็นใจกัน (empathetic) เมื่อรู้จักความเปราะบางของตัวเอง เราก็จะเอาใจใส่ผู้อื่นด้วย

เธอเรียกสิ่งสำคัญนี้ว่า Vulnerability ซึ่งไม่ใช่ความอ่อนแอที่เป็นจุดอ่อนหรือจุดด้อย แต่หมายถึง การอ้าแขนโอบรับความไม่แน่นอนให้เข้ามาในชีวิต และกล้าเสี่ยงทำบางสิ่งบางอย่างที่มั่นใจว่าต้องทำ เพราะเป็นสิ่งที่ถูกที่ควร รวมถึงสิ่งที่อยากทำ ซึ่งเป็นการทำตามเสียงของหัวใจ โดยไม่หวั่นเกรงว่าผลลัพธ์ที่ตามมาอาจไม่ตรงกับความคาดหวังหรือลงเอยด้วยความไม่สำเร็จ

เมื่อไม่ฝืนบังคับตัวเอง และปล่อยใจให้เผชิญกับความหวั่นไหวไม่มั่นคง รับรู้ทุกความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา ทั้งความทุกข์ ความเศร้า ความเหงา และความจากลา พร้อมกับตระหนักถึงความเปราะบางของใจว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งหมดจะทำให้เรายอมรับความจริงและความผิดพลาดที่เกิดขึ้นด้วยความเมตตาต่อตนเอง (self-compassion) เพื่อให้อภัยและให้โอกาสตัวเองเรียนรู้และใช้ชีวิตต่อไปได้

vulnerability ยังทำให้คนอื่นมองเห็นตัวตนที่เราเป็นจริงๆ เปรียบได้กับการปลดเปลื้อง เปิดเผย หรือกระเทาะเปลือกออกให้คนรอบตัวเห็นความเปราะบางที่เราเก็บไว้ภายในด้วยความเชื่อใจต่อคนอื่นเพื่อสร้างความเชื่อใจ ความผูกพัน และความซื่อสัตย์ระหว่างกัน

หรืออาจเปรียบเทียบได้กับก้าวออกจาก comfort zone หรือพื้นที่ปลอดภัยที่เคยทำให้เราสบายใจเพราะอยู่แต่ในความมั่นคงแน่นอน เพราะ vulnerability สนับสนุนให้มีความอาจหาญ เพื่อก้าวไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ซึ่งมีแต่ความไม่แน่นอนรออยู่ ทำให้เรากล้าที่จะบกพร่อง กล้าได้กล้าเสีย กล้าทำสิ่งที่อาจนำพาความผิดหวังและความเสียใจเข้ามาในชีวิต เช่น สารภาพรักกับคนที่แอบชอบ หรือเลือกทำงานที่ใฝ่ฝันมากกว่างานที่มั่นคง

คนที่ยอมรับความเปราะบางในใจได้จึงไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เป็นคนที่ไม่เคยปิดกั้นตัวเองให้ลองต่อไปเรื่อยๆ แน่วแน่พยายามดิ้นรนสู่ชีวิตใหม่ด้วยความรู้สึกว่าตัวเองมีค่า นับเป็นจุดเริ่มต้นของความสุข ความสร้างสรรค์ ความผูกพัน และความรัก ซึ่งใช้ความกล้าเป็นไม้นำทาง โดยไม่หลงลืมว่าการลองใหม่แต่ละครั้งคือการเสี่ยงที่ไม่มีการรับประกันผลลัพธ์

เอมี เอ็ดมอนด์สัน (Amy Edmondson) ศาสตราจารย์ชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการและภาวะผู้นำในองค์กร ประจำ Harvard Business School เป็นอีกหนึ่งคนที่สนใจศึกษา vulnerability ในแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน

เอ็ดมอนด์สันพบว่า นอกเหนือจากหมั่นเรียนรู้ และสงสัยใคร่รู้ ซึ่งมีส่วนช่วยสร้างสภาพแวดล้อมในที่ทำงานให้ปลอดภัยเชิงจิตวิทยา (psychological safety) คือรักษาบรรยากาศเป็นมิตร ส่งเสริมความเสมอภาคให้ทีมไว้วางใจและเชื่อใจต่อกัน และเคารพความคิดเห็นที่แตกต่างและหลากหลาย เพื่อสร้างความร่วมมือ การสร้างสรรค์ และความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่จะทำให้งานออกมาดีมากขึ้นแล้ว ยังต้องอาศัย vulnerability ด้วย

คนทำงานในทีมจำเป็นต้องรับรู้ความเปราะบางของแต่ละคน อาจหมายถึงข้อจำกัดในการทำงาน เพราะความเข้าใจกันและกันจะสร้างความเป็นหนึ่งเดียว นำไปสู่ความร่วมมือเชิงสร้างสรรค์เพื่อบรรลุเป้าหมายการทำงานของทีมต่อไป

แต่คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนเราจะยอมเปิดเผยความเปราะบางของใจให้คนอื่นรู้อย่างทันทีทันใด และคงไม่มีใครจะมาบังคับให้เราทำเช่นนั้นได้ ทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจของเราว่า จะยอมรับชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แบบ และใจที่ไม่เข้มแข็งตลอดเวลาได้เมื่อไหร่

เมื่อวันนั้นมาถึง วันที่เราอ้าแขนโอบรับความเปราะบางของใจตัวเอง นั่นหมายความว่า เราพร้อมแล้วที่จะได้สัมผัสกับชีวิตใหม่

 

อ้างอิง